ตอนที่ 6 ไส้หมูทอด
“เวยลี่ แม่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าทำครัวเป็น” ซูฮวาเดินเข้ามาในครัวแล้วเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
“อ้อ ข้าเคยแอบฝึกทำตอนท่านตาออกไปรักษาคนเจ้าค่ะ” เวยลี่ตอบพลางกำลังจัดแจงตักข้าวร้อนๆให้พวกเด็กๆ
พอเงยหน้าเห็นของที่แม่สามีถือมาเต็มไม้เต็มมือไปหมด ก็รีบเดินเข้าไปช่วยถือมีข้าวสาร เนื้อหมู กระดูกหมูและไส้หมู
“ถ้าเจ้ารังเกียจแม่จะเอาไปทิ้ง”ซูฮวารีบพูดขึ้น พ่อค้าขายหมูคะยั้นคะยอให้นางรับไส้หมูมาด้วย เพราะถ้าหากนางไม่รับมาเขาก็คงต้องทิ้งอยู่ดี
“ทิ้งอะไรกันท่านแม่ นี่ของอร่อยแต่เราต้องรู้จักทำกินสักหน่อย”เวยลี่ยิ้มออกมาจนตาหยี พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการทำอาหารทีไรนางจะอารมณ์ดีเสมอ
“งั้นแม่ช่วยเจ้าทำแล้วกัน”
เวยลี่ปล่อยให้พวกเด็กน้อยที่หิวโซทั้งสองคนนั่งรับประทานอาหารไปก่อน แต่บอกให้พวกเขาเผื่อท้องเอาไว้ด้วย ไส้ที่ได้มามีจำนวนประมาณหนึ่งชั่งไม่ได้มากมายจึงจัดการได้ไม่ยากเท่าใด
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้ขี้เถ้าดับคาวไส้หมูแล้วมันจะกินได้รึ?”ซูฮวาเองเกิดมา 36 ปีแล้วก็ยังไม่เคยรู้ว่าไส้หมูจะต้องทำกินแบบนี้
“เอามาคลุกขี้เถ้าแบบนี้แล้วนำไปล้างออกอีกจนกว่าจะสะอาด แล้วข้าจะนำไปหมัก ต่อจากนั้นหั่นเป็นท่อนเล็กๆก่อนแล้วจึงนำไปทอดกับกระเทียมท่านแม่” เวยลี่ทำกระบวนการทุกขั้นตอนอย่างคล่องแคล่ว
ไม่ถึง 2 เค่อไส้หมูที่หมักแล้วก็ถูกทอดลงในกระทะเสียงดังฉ่าๆ พวกสองพี่น้องอดใจไว้กินข้าวกันไปเพียง 2-3 คำเพราะต้องการรอท่านแม่และพี่สะใภ้ให้มาร่วมโต๊ะด้วย
ทอดเสร็จแล้วเวยลี่ก็ยกไส้ทอดร้อนๆส่งกลิ่นหอมชวนให้เจริญอาหารออกมา แม้แต่ซูฮวาทนกลิ่นหอมนั่นไม่ไหวจึงหยิบไปชิมก่อน แล้วชมว่าอร่อยอย่างไม่ขาดปาก
“พี่สะใภ้ ไส้ทอดนี่อร่อยมากๆอร่อยจนแทบกัดลิ้นเลย ข้าไม่ได้กินเนื้อมานานแล้วน้องเล็กเจ้าต้องลองชิมดู”
“กร๊วมๆๆ”
“อร่อยมากเจ้าค่ะพี่รอง พี่สะใภ้” อ้ายหนี่เคี้ยวไส้ทอดแล้วหันมายิ้มให้นาง ปากเล็กๆนั่นเต็มไปด้วยน้ำมันทำให้ดูน่าเอ็นดูยิ่งขึ้นไปอีก
“ฮ่าๆ อร่อยเจ้าก็กินกันเข้าไปเยอะๆจะได้โตไวๆ ท่านแม่เองก็ผอมเกินไปแล้วท่านเองก็ต้องรู้จักบำรุงร่างกายให้มีเนื้อมีหนังเพิ่มขึ้น ไม่อย่างนั้น….”
“ไม่อย่างนั้นอะไรรึ”
“ไม่อย่างนั้นท่านพ่อก็อาจจะแอบมองสตรีคนอื่นก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวเถอะ!!” ซูฮวาถลึงตามองเวยลี่ที่ยังคงทำหน้าตาทะเล้น
“ฮ่าๆๆๆ” พวกเด็กๆทั้ง 3 คนพอยั่วโมโหท่านแม่สำเร็จก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
มื้อค่ำวันนี้เป็นมื้อที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ไม่ได้มีมาในครอบครัวหลี่นานแล้ว เสียงหัวเราะนี้ทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าบ้านอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
“คุณหนูมาแล้วจะไม่เข้าไปหรือเจ้าคะ”สาวรับใช้ถาม
“ไม่ กลับกันเถอะ!”เฉินเป่าหลิงเดินสะบัดหน้ากลับไปโดยไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น
เวยลี่บอกซูฮวาว่าจะทำน้ำเต้าหู้วันพรุ่งนี้ต้องขอใช้เครื่องโม่ที่เก็บอยู่ในห้องของซูฮวา
ซูฮวาเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเจียและอ้ายหนี่ยืนยันจะเป็นคนล้างจานเนื่องจากท่านแม่และพี่สะใภ้เหนื่อยมามากแล้ว พี่น้องสองคนนี้ช่างรู้ความนักรู้จักแบ่งเบาภาระผู้ใหญ่
“ท่านแม่ที่ข้างหลังบ้านเรา ยังไม่มีใครจับจองใช่หรือไม่”
“ใช่ เมื่อก่อนแม่ก็เคยคิดจะไปถากหญ้าแล้วล้อมรั้วเหมือนกัน แต่ถ้าแม่เอาแต่ถากหญ้าก็จะเสียเวลาปักผ้าเช็ดหน้า รายได้ของครอบครัวก็จะหายไปอีก”
“ผ้าเช็ดหน้าของท่านขายได้ผืนละกี่อีแปะ”
“ผืนละ 3 อีแปะ เดือนหนึ่งแม่ปักได้ 30-40 ผืน แม่จะเข้าไปขายทุกๆครึ่งเดือน”ซูฮวาพูดด้วยความภาคภูมิใจ เงินที่ได้ก็ได้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่างๆในครอบครัว
“เอ่อ ท่านแม่แล้วหมูนี่ชั่งละกี่อีแปะ”
“หมูราคาชั่งละ 15 อีแปะ ข้าวสารชั่งละ 6 อีแปะ อ้อ แล้วก็นี่เงินของเจ้า 2 ตำลึง แม่ไม่ได้เอาเงินของเจ้าซื้อของ
เงินนี่อี้หานตั้งใจนำมามอบให้เจ้า เจ้าเก็บเอาไว้ดีๆเถิด เผื่อวันข้างหน้าเจ้ามีหลานให้แม่อุ้ม การเลี้ยงเด็กต้องใช้ตำลึงอีกมาก”
“ขอบคุณท่านแม่ ข้าจะจำไว้” ถึงแม้นางจะไม่ได้คิดอะไรกับอี้หานแต่ก็อดหน้าแดงไม่ได้
ชาติก่อนนางก็ไม่เคยมีแฟนแต่ชาตินี้กลับออกเรือนเสียแล้ว ก็ดีเหมือนกันนางจะได้ไม่เสียเวลาหาสามี
“เจ้าเข้าไปพักเถิดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ขอบคุณท่านแม่ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เวยลี่ลุกออกมา นางต้องทำแผลที่ศีรษะและกินยาอีก โชคดีที่แผลเริ่มปิดสนิท ถ้าทายาจากเมืองหลวงที่ท่านตาเคยให้ไว้อาจจะไม่เป็นแผลเป็นก็ได้
เวยลี่ไม่ปฏิเสธการรักษาโดยสมุนไพรและใช้ยาแผนปัจจุบันควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าด้วยวิธีใดที่ทำให้นางกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรง นางพร้อมที่จะทำทั้งนั้นเพราะนางต้องใช้ร่างกายนี้ในการประกอบอาชีพ
เงินจากการขายผ้าเช็ดหน้าของท่านแม่เป็นรายได้หลักอย่างเดียวที่คอยจุนเจือครอบครัวไว้
นางเป็นเชฟอาหารทะเลแต่ที่นี่คือเมืองโย่งอัน เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของแคว้นต้าปิง ชื่อหมู่บ้านนี้เดิมชื่อหมู่บ้านลู่ เพราะเดิมทีมีคนแซ่ลู่มาอยู่เยอะ ไม่มีทะเลมีแต่ป่าเขาและดินที่อุดมสมบูรณ์
อาชีพชาวสวนปลูกผักก็ไม่เลวนักแต่ผักคงขายได้ราคาไม่แพง นางต้องเอาผักที่ปลูกได้มาแปรรูปเป็นอะไรสักอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
ในสมองของเวยลี่เต็มไปด้วยข้อมูลตีกันเต็มไปหมดจนกระทั่งนางหลับไป
เวยลี่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะรู้สึกปวดแผลจึงลุกมากินยาแก้ปวดจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่รอบๆบ้าน
บ้านหลี่ไม่มีรั้วล้อมเหมือนบ้านอื่นจึงไม่ปลอดภัยเท่าใดนักสำหรับสตรีที่ต้องอยู่เพียงลำพัง ข่าวที่ว่าบุรุษในบ้านออกไปสร้างกำแพงเมืองคงจะแพร่ออกไปแล้ว
นางนิ่งฟังจนเสียงฝีเท้านั้นค่อยๆเบาลงแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลังคาบ้านก็ผุพัง ยามวิกาลมีคนเดินมาสำรวจบริเวณบ้านก็ไม่มีรั้วเอาไว้คอยป้องกันอีก บุรุษในบ้านก็อายุได้เพียงแค่ 9 ขวบ ที่เหลือก็ล้วนแล้วแต่เป็นอิสตรีทั้งนั้น
เวยลี่ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้จึงเดินออกมาจากห้องแล้วเตรียมทำน้ำเต้าหู้
เหลือบเห็นว่าไฟตะเกียงในห้องของซูฮวายังไม่ดับ นางจึงเดินเลยไปเตรียมของเพื่อทำน้ำเต้าหู้
น้ำเต้าหู้อาจจะถูกลอกเลียนแบบได้ง่ายนางจะทำให้ทุกคนลองชิมก่อน ส่วนสินค้าที่จะขายจริงคงเป็นเต้าหู้ที่พกพาสะดวกสามารถให้เจ้าเจียนำไปขายได้
รถเข็นที่คิดเอาไว้ว่าจะนำเต้าหู้ไปขายก็คงไม่สะดวกเท่าใดนัก คงต้องรอให้หลี่ซานและอี้หานกลับมาก่อน
การทำเต้าหู้หรือเต้าฮวยขึ้นกับการใส่เกลือ เวยลี่เองก็ไม่เคยทำแต่คิดว่าจะลองทำเต้าหู้ก่อนเพราะสามารถนำไปใช้ทำอาหารได้ทั้งต้ม ผัดหรือทอด เมนูง่ายๆก็ผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ถึงจะไม่ใส่เนื้อหมูก็อร่อยได้
คิดแล้วเวยลี่ก็เดินไปนำเมล็ดถั่วเขียวไปแช่น้ำรอผัดถั่วงอกในวันรุ่งขึ้น พอฟ้าสางนางก็บดถั่วเหลืองเสร็จนำผ้าขาวบางมากรองแล้วนำไปตั้งหม้อ ต้มจนกระทั่งเดือดและมีฟอง คนผสมไปเรื่อยๆก็ตักใส่แก้วแล้วใส่น้ำตาลลงไปเล็กน้อย
เวยลี่ใช้ดื่มรองท้องไป 1 แก้วแล้วว่าจะทำอาหารเช้าให้พวกเด็กๆสักหน่อย นางจึงเดินไปหาวัตถุดิบนอกบ้านก็เจอกับป้าฮุ่ยเจินเพื่อนสนิทของซูฮวา นางเป็นภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ ปกติยามที่มีเวลาว่างก็จะมาสนทนาภาษาผู้หญิงกันเป็นประจำ
“เวยลี่นั่นเจ้ารึ ออกมาทำอะไรข้างนอก ข้าได้ข่าวมาว่าเจ้าบาดเจ็บแต่ดูเหมือนจะหายดีแล้วรึ”
วันนี้เวยลี่แต่งกายด้วยชุดสีชมพูอ่อนไม่มีลวดลายอะไรเป็นพิเศษ รวบผมขึ้นไปเป็นทรงหางม้าและรวบไว้เพื่อสะดวกต่อการทำงาน มีเครื่องประดับคือปิ่นธรรมดาๆเล่มหนึ่ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่านางออกเรือนแล้วแต่ก็ยังดีสวยสะดุดตาต่อผู้ที่พบเห็นนางอยู่ดี
“ข้าอยากได้ต้นหอมไปทำกับข้าวจ้ะท่านป้า ที่บ้านท่านพอจะมีไหม”จางเวยลี่จะทำกับข้าว? นี่นางคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ไม่ใช่ว่าฮุ่ยเจินจะไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของจางเวยลี่มาก่อน แต่ก็เอาเถอะถึงอย่างไรก็เป็นลูกสะใภ้เพื่อนนางจะช่วยเหลือไว้แล้วกัน ต้นหอมเองก็ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร
“ได้ เจ้าเข้าไปรอในบ้านเถิดเดี๋ยวข้ากลับไปเด็ดที่บ้านมาให้”
“ขอบคุณท่านมาก” เวยลี่กล่าวอย่างอ่อนน้อมแล้วยิ้มให้นาง
ฮุ่ยเจินเห็นรอยยิ้มที่สดใสนั้นแล้วก็เกลียดนางไม่ลง จึงรีบเดินกลับบ้านไปเก็บต้นหอมมาให้ตามที่นางต้องการ
ฮุ่ยเจินเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าจางเวยลี่จะทำอาหารประเภทไหนออกมาเพราะต้นหอมก็ทำอาหารได้แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
