ตอนที่ 5 ช่องทางทำมาหากิน
เวยลี่รีบรับประทานยาหลังอาหารตามไป เพราะต้องการให้ตัวเองกลับมาแข็งแรงในเร็ววัน เนื่องจากครอบครัวนี้ยากจนมาก นางต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
อาหารของคนจีนนางก็รู้จักอยู่ไม่กี่อย่าง ที่ขายง่ายที่สุดก็คือแป้งย่างหรือแพนเค้กจีน แต่แป้งย่างใส่ไข่ แป้งย่างใส่ต้นหอมน่าจะมีคนขายเต็มไปหมดแล้ว
คงจะไม่เป็นการดีเท่าไรหากจะไปขัดแข้งขัดขาพ่อค้าและแม่ค้าที่ค้าขายมาก่อนนาง
“ขายอะไรดี?”
ในเมื่อคิดไม่ออกเวยลี่ก็เดินออกไปนอกบ้านเพื่อลองหาวัตถุดิบที่มีอยู่ดู เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน
ในห้องเก็บของมีเครื่องโม่ขนาดกลางอยู่ อีกทั้งยังมีถั่วเหลืองเก็บไว้ในห้องเก็บของอีกประมาณ 20 ชั่งวางไว้ ด้านข้างเป็นรถเข็นเก่าๆคันหนึ่งแต่ทำด้วยไม้คุณภาพดี
เวยลี่นั่งพิจารณาถึงของที่มีอยู่ตรงหน้าแล้วก็ยิ้มออกมา คาดว่านี่จะเป็นช่องทางทำมาหากินให้ครอบครัวได้บ้าง
แต่รถเข็นคันนั้นคงต้องนำมาขัดล้างทำความสะอาดอีกพักใหญ่ หากนางจะเข็นออกไปขายที่ตัวหมู่บ้าน
“คิดออกแล้วว่าจะทำอะไร”เวยลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“พี่สะใภ้ ทะ ท่านจะทำอะไร?” เจ้าเจียถามออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ข้าว่าจะลองทำน้ำเต้าหู้ขายดูเจ้าเจีย”
“น้ำเต้าหู้คือสิ่งใด ข้าไม่เคยได้ยิน”
“เดี๋ยวเจ้าช่วยข้าทำเจ้าก็จะรู้เอง แล้วข้าจะให้พวกเจ้าลองดื่มด้วย รับรองว่าน้ำเต้าหู้นี้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก ช่วยบำรุงสมองและมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการด้วย” เวยลี่พยายามอธิบาย
“แล้วน้ำเต้าหู้ของท่าน...ดื่มแล้วอิ่มท้องไหม” เด็กชายถามอย่างสงสัย แต่คำถามนั้นทำให้นางถึงกับนิ่งไป
“อิ่มสิอิ่ม เจ้าอยากช่วยพี่สะใภ้ทำไหม”
เจ้าเจียก้มหน้า เขาทำตัวไม่ถูก เวยลี่ไม่เคยเรียกแทนตัวเองว่าพี่สะใภ้เลยและนางก็ไม่เคยยิ้มแย้มกับเขาด้วย จนเจ้าเจียคิดว่าอาจเป็นเพราะพี่สะใภ้เกลียดตนเอง และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พี่สะใภ้และพี่ใหญ่ไม่รักกัน แต่วันนี้เขามีความหวังว่ามันอาจจะมิเป็นเช่นนั้นก็ได้
“ข้าต้องออกไปเก็บผักป่า ท่านแม่กำลังจะเอาผ้าเช็ดหน้าไปส่งที่ตัวเมือง ทำให้ข้าต้องดูแลอ้ายหนี่ด้วย คง จะช่วยท่านไม่ได้ พะ พี่สะใภ้”
“พวกเจ้าจะเข้าตัวเมืองเหรอ งั้นข้าฝากซื้อของได้หรือไม่”
“ท่านจะฝากซื้ออะไรข้าจะได้ไปบอกท่านแม่”
“ฝากซื้อเนื้อหมู ข้าวสาร ไข่ มาอย่างละ 1 ชั่ง ข้าจะไปนำเงินมาให้” เวยลี่เอ่ยอย่างลิงโลด นางดีใจมากที่จะได้แสดงฝีมือทำอาหารแล้ว
เจ้าเจียยืนรอนางอยู่ครู่หนึ่งนางก็นำเงินที่มีอยู่ไปมอบให้เขา 2 ตำลึง
“ข้าไม่รู้ว่ามันราคาเท่าไรเจ้าเอาเงินนี้ไป ถ้าเหลือก็ให้ท่านแม่ซื้อผ้ามาสักผืนหนึ่ง เอาไว้ตัดชุดให้พวกเจ้าด้วย”เวยลี่ มองชุดที่เจ้าเจียสวมแล้วดูเหมือนเอากระสอบป่านมาพันรอบๆตัวแล้วเอาเชือกมัดไว้ เสื้อผ้าแบบนี้จะกันหนาวได้อย่างไร
พูดเสร็จนางก็เดินไปเตรียมทำน้ำเต้าหู้ โดยปล่อยให้เจ้าเจียยืนทบทวนว่าเขาหูฝาดไปหรือเปล่า ที่ได้ยินว่าพี่สะใภ้
จะให้ท่านแม่ซื้อผ้ามาตัดชุดใหม่ให้พวกเขา
เวยลี่นำถั่วเหลืองออกมาประมาณ 2 ชั่ง นางอยากทดลองทำดูก่อนว่าจะได้รสชาติออกมาเหมือนที่ต้องการไหม ในครัวมีถั่วลิสงอยู่เล็กน้อยนางจึงนำมาผสมอีกประมาณ 2 ถ้วย
ส่วนอัลมอนด์ที่นางเคยใช้ผสมตามสูตรทำน้ำเต้าหู้เดิมนั้นที่นี่ไม่มี นางจึงต้องปรับสูตรใหม่ โดยมีส่วนประกอบสำคัญแค่ 2 อย่าง นำมาแช่น้ำไว้ข้ามคืนถั่วจะได้พองตัว
ทำเสร็จแล้วก็เดินไปทางด้านหลังบ้านเป็นที่ดินรกร้างไม่มีใครจับจอง มองดูเหมือนที่ดินตรงนี้จะดีมากเพราะมีวัชพืชขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด จนแทบมองไม่เห็นว่ามีพืชผลชนิดใดที่นำมาทำเป็นอาหารได้บ้าง
เวยลี่จึงนำถุงมือยางออกมาใส่แล้วเริ่มต้นถอนหญ้าต้นเล็กๆออก ต้นใหญ่ที่มีรากฝังลึกต้องใช้จอบขุดนางปล่อยเอาไว้ก่อน ถ้าใช้แรงขุดมากไปแล้วกระเทือนไปถึงบาดแผลก็จะยุ่งไปกันใหญ่
ที่ดินตรงนี้มีประมาณ 2 หมู่ มีมากพอที่จะใช้จัดสรรทำแปลงผักหลากหลายชนิด
เวยลี่จำได้ว่าครอบครัวหลี่เป็นครอบครัวที่เคยมีฐานะมาก่อน นั่นแปลได้ว่าพวกเขาอาจจะทำงานสวนไม่เป็น แต่ว่านางทำเป็นและนางจำเป็นต้องทำเพื่อหาเงินอีกทางหนึ่ง!
วางแผนผังในใจคร่าวๆแล้วว่าจะปลูกอะไรไว้ตรงไหนบ้างแล้วเวยลี่ก็ลงมือถอนหญ้า ถัดไปจากหลังบ้านไม่ไกลมีสระน้ำขนาดย่อมอยู่ ในสระอาจจะมีปลาก็ได้ ถ้าหากมีเวลาว่างนางค่อยหาเวลาไปดูด้วยตัวเอง
เวยลี่นั่งถอนหญ้าทั้งวันจนเริ่มรู้สึกหิวนางจึงวางมือลงแล้วเดินไปล้างมือเตรียมทำกับข้าว มองดูพื้นที่รกร้างหายไปกว่าครึ่งก็รู้สึกภูมิใจ
ผลของการต่อสู้ดิ้นรนทำงานเพื่อหาเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยตัวเองของนาง ส่งผลทำให้เวยลี่ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากตรงหน้านี้เลย
การก่อไฟเตาถ่านแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเวยลี่เช่นกัน เพราะสมัยเป็นเด็กนางทำเป็นประจำ เวยลี่นำข้าวสาร ที่เหลืออยู่ในบ้านทั้งหมดมาหุงข้าว นำผักป่าที่เจ้าเจียเก็บมาผัดใส่ไข่ เติมเครื่องปรุงรสที่มีอยู่ลงไป
ผัดไปได้ไม่นานกลิ่นหอมก็ลอยออกไปในอากาศชวนให้น้ำลายสอ เพื่อเลี่ยงที่จะต้องตอบคำถามนางจึงลอกเอาสติกเกอร์ที่แปะข้างขวดเครื่องปรุงทั้งหลาย แล้วนำกระดาษมาเขียนทับลงไปว่าแต่ละขวดมีรสชาติอย่างไร และใช้ปรุงอาหารประเภทไหน
พอกำลังจะจรดพู่กันลงไปก็นึกขึ้นได้ว่านางเขียนจีนไม่เป็นนี่นา แต่ร่างกายของนางกลับเขียนลงไปโดยอัตโนมัติ พอเริ่มเขียนแล้วความรู้ที่เวยลี่มีก็หลั่งไหลออกมา ทำให้ภาษาจีนกลายเป็นภาษาประจำตัวของนางไปแล้ว…
เว่ยลี่ก็ลืมนึกไปถึงตอนที่นางฟื้นขึ้นมา นางพูดสื่อสารกับท่านตาก็ต้องใช้ภาษาจีนอยู่แล้วการได้มาเกิดใหม่ครั้งนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน นางพยายามคิดในแง่ดี
มองไปเห็นว่ามีฟักลูกใหญ่อยู่ในครัวนางจึงเอามาต้มทำซุป ไม่มีเนื้อสัตว์หรือซี่โครงไก่หรือแม้แต่กระดูกหมู น่าเจ็บใจจริงๆที่นางไม่ได้ซื้อเนื้อหมูติดมา ตอนนั้นนางก็ไม่รู้ว่าภายในมิติจะสามารถเก็บรักษาอายุของเนื้อหมูได้หรือเปล่า จึงไม่ได้ใส่ใจกับการซื้อของสดติดมาด้วยเลย
“พี่สะใภ้ท่านทำอะไรกลิ่นหอมจัง”อ้ายหนี่เดินมาถามนางอย่างกล้าๆกลัวๆ ดูท่าแล้วสาวน้อยคนนี้จะหิวแล้ว
“พี่สะใภ้ผัดผักป่าที่เหลืออยู่ใส่ไข่ เจ้าไปเรียกพี่รองมากินข้าวได้แล้วอย่าลืมล้างมือก่อนด้วย”เวยลี่ตะโกนตามหลังไป
“พี่รอง พี่สะใภ้เรียกท่านไปกินข้าว!”อ้ายหนี่วิ่งหน้าตาตื่นไปตามพี่ชายที่กำลังหาปลาอยู่ไม่ไกลจากหลังบ้านไปเท่าใดนัก
ซูฮวากลับมาได้ยินถ้อยคำที่ลูกสาวคนเล็กตะโกนบอกพี่ชายพอดี นับว่าความเหนื่อยจากการเดินทางของนางนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง
สายสัมพันธ์ของครอบครัวนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆทำให้หัวใจของนางที่แห้งแล้งเหมือนมีน้ำทิพย์มาชโลมใจ
ถึงแม้วันนี้จะมีข่าวไม่ค่อยดีเท่าไรแต่ซูฮวาก็มีกำลังใจที่จะสู้ต่อ ผ้าเช็ดหน้าที่นางใช้เวลาปักทั้งวันทั้งคืนนั้นเคยขายได้ผืนละ 3 อีแปะ แต่กลับถูกกดราคาเหลือเพียงแค่ผืนละ 2 อีแปะ
ซึ่งนางใช้อาชีพนี้เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวมาตลอด ครั้งนี้นางได้ราคาผืนละ 3 อีแปะนี่เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
ซูฮวาเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในตระกูลซู มีญาติเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่แต่ยามที่สามีของนางตกทุกข์ได้ยาก กลับไม่มีผู้ใดแลเหลียวหรือยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว
ทุกคนล้วนพ่ายแพ้ต่ออำนาจของเงินและไม่มีใครหาห่วงผูกคอ จึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องราวของนาง
ซูฮวาจึงไม่มีสมบัติติดตัวมาแม้แต่เพียงชิ้นเดียวยามที่มาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองโย่งอันแห่งนี้ นางต้องต่อสู้ดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัวเป็นอย่างมาก
ครั้นพอตั้งตัวได้ก็มาล้มหมอนนอนเสื่อป่วยเป็นโรคร้าย หมดเงินเก็บที่หามาไปกับค่ารักษาจนหมดสิ้น จนมาเจอจางหลีไห่ท่านตาของจางเวยลี่เข้า
ท่านหมอจางหลีไห่เป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เขารักสันโดษจึงหาตัวพบยาก จางหลีไห่ต้มยาให้หลี่ซานและซูฮวาดื่มแต่เพียง 2 เทียบ สองสามีภรรยาก็หายจากโรคร้ายนั้น มิหนำซ้ำยังกลับมาแข็งแรงราวกับปาฏิหาริย์อีกด้วย
พอหลี่ซานตามหาตัวพวกหมอจอมปลอมที่หลอกลวงค่ารักษาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็อันตรธานหายไป ส่งตัวแทนมาเจรจาและจ่ายเงินคืนมาเพียงแค่ 200 อีแปะ จากเงิน 5 ตำลึงที่จ่ายไป หลี่ซานโมโหจนแทบคลั่ง
นอกเหนือไปจากเรื่องเงิน การกระทำเช่นนี้คือการดูถูกกันชัดๆคนเหล่านี้รังแกครอบครัวของเขา เพราะเห็นว่าเขาไม่มีพรรคพวก หลี่ซานตั้งใจจะตามไปเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแม้แลกด้วยชีวิตก็ยอม
ซูฮวาจึงต้องไปคุกเข่าขอร้องให้หลี่ซานยอมยุติเพราะไม่อยากทำให้เรื่องราวต้องบานปลายไปมากกว่านี้ หลี่ซานจึงยอมใจอ่อนเลิกแล้วต่อกันไม่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
