ตอนที่ 4 สร้างกำแพงเมือง
เวยลี่เดินกลับมาห้องนอนแล้วเดินตรงไปหยิบขนมที่แอบเก็บเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าออกมารับประทานเพื่อประทังชีวิต หากท้องว่างนางคงจะนอนข่มตาหลับไม่ลง ไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้พวกเขานอนหลับกันได้อย่างไร
นางไม่เห็นร่องรอยของการทำอาหารเลย พวกเขาคงจะหิวกันมาก ที่นางปฏิเสธไม่กินไข่ต้มฟองนั้นไม่ใช่เพราะมีน้ำใจอะไร นางแค่ไม่รู้สึกอยากกินไข่ก็เท่านั้นและอีกเหตุผลหนึ่งก็คือนางยังเป็นแผลอยู่ อาจจะทำให้เป็นแผลเป็นได้
เวยลี่เองก็ไม่คิดว่าที่นี่แค่ไข่ต้มฟองเล็กๆใบนี้จะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เสียงหัวเราะอย่างดีใจของเจ้าเจียและอ้ายหนี่ตอนนี้ซูฮวาแบ่งไข่ให้พวกเขาคนละครึ่งฟอง ยังคงประทับตราตรึงอยู่ในความทรงจำของนาง
ไข่ที่นางซื้อมาเต็มมิติคงจะพอซื้อใจพวกเขาให้กลับมารู้สึกดีกับนางได้บ้าง อันดับแรกถ้านางอยากจะเอาตัวรอดและมีชีวิตที่ดีได้ ก็คงจะไม่พ้นต้องพึ่งบารมีพระเอกของเรื่อง
ปั้นปลายชีวิตของเขาจะได้เป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงขจรขจาย นางไม่อยากขัดแข้งขัดขาเขาเพราะอาจจะถูกกำจัดได้
ง่ายๆ ในเนื้อเรื่องเดิมการตายของนางยังเป็นปริศนาเนื่องจากดูคล้ายกับว่าถูกลอบวางเพลิง ปริศนานี้ยังไม่ถูกคลี่คลายและเรื่องราวก็ค่อยๆเงียบหายไป
พอจางเวยลี่ตายก็เปิดช่องทางให้เฉินเป่าหลิงเข้ามา เฉินเป่าหลิงมีครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะดีกว่าหลายๆครอบครัวในหมู่บ้าน
นางตกหลุมรักอี้หานตั้งแต่นางอายุ 14 ปียังไม่โตเป็นสาวเต็มที่ พอ 3 ปีต่อมา นางก็เติบโตขึ้นเป็นสาวงามผู้เพียบพร้อม
“เอาหนังสือนิยายมาเปิดอ่านดูอีกทีดีกว่า”
เวยลี่เปิดมิติออกมาอีกครั้งแล้วหยิบนิยายเล่มนั้นออกมาเปิดอ่านดู หมายใจว่าจะต้องเจอคำตอบหรือทางออกที่ดีอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่นางเจอนั้นคือ“ว่างเปล่า” นิยายเล่มนี้กลายสภาพเป็นกระดาษเปล่าทุกหน้าคล้ายกับสมุดโน้ตมากกว่า
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!!” เวยลี่แทบกรีดร้องออกมา
กว่าเวยลี่จะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาพักใหญ่ นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ที่นิยายกลายเป็นแบบนี้ไป นางจะได้ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนบทใหม่ จะให้นางทำตัวเป็นคนใจร้ายแบบเดิมนางคงทำไม่ลง
แผลที่ศีรษะเริ่มอักเสบอีกแล้ว เวยลี่จึงแกะที่ปิดแผลออกมาทำแผลใหม่ พร้อมกับกินยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อและยาบำรุงเลือดตามไปด้วย
พรุ่งนี้เช้านางตั้งใจว่าจะลุกขึ้นไปช่วยทำงานบ้านสักหน่อย ซูฮวาผอมจนเหลือแต่กระดูกแล้ว เงินที่มีอยู่นางว่าจะฝากอี้หานให้ซื้อเนื้อหมูมาสักครึ่งชั่ง ทุกคนในครอบครัวหลี่จะได้ชิมฝีมือของเชฟสาวจากโลกอนาคตกัน
ที่บ้านหลี่แห่งนี้มีด้วยกันทั้งหมด 5 ห้อง หลี่ซานใช้เงินเก็บที่มีติดตัวอยู่ตอนนั้นซื้อมาในราคา 30 ตำลึง ห้องที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดคือห้องของจางเวยลี่ ห้องขนาดกลางมี 2 ห้องคือห้องของหลี่เจ้าเจียและหลี่อ้ายหนี่ และห้องของซูฮวาและ หลี่ซาน ส่วนห้องเล็กอีก 2 ห้องคือห้องเก็บของและห้องนอนของหลี่อี้หาน
ถึงแม้ว่าภายในห้องนี้จะคับแคบแต่ก็สามารถวางเตียงลงไปได้ 1 เตียงและชั้นหนังสือที่เขารักมากกว่าชีวิตได้ แค่เพียงเท่านี้หลี่อี้หานก็พอใจแล้ว
เขาชอบท่องตำราและมีความจำดีเป็นเลิศ สมัยที่ยังเด็กอาจารย์บอกกับเขาเสมอว่าเขาเป็นคนที่มีอนาคตไกลอย่างแน่นอน แล้วดูสภาพของตอนนี้สิไม่ต่างอะไรไปจากขอทานข้างถนน
“หึ” เขาแค่นเสียงออกมาจากลำคอ
อนาคตไกลอะไรวันพรุ่งนี้พวกเขาจะมีชีวิตรอดกันหรือเปล่ายังไม่รู้
เถ้าแก่เจียงประกาศรับคนงานเขาว่าจะไปลองสมัครดู ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไปทำงานสร้างกำแพงเมืองดูอีกสักครึ่งเดือน ถึงแม้ว่างานจะหนักแต่รายได้ดีและมีอาหารกินครบ 3 มื้อ
ลำพังแค่เลี้ยงดูน้องๆก็ยังลำบากเวลานี้แต่งภรรยาเข้าบ้าน มีเพิ่มมาอีก 1 ปาก 1 ท้องที่วันๆเอาแต่แต่งตัวสวยไม่ทำอะไร ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเครียดมากกว่าเดิม แต่ก็จำต้องข่มตาให้หลับทั้งๆที่แสบท้องจนต้องเอามือมากุมไว้
นานแค่ไหนแล้วน่ะที่เขาได้กินอิ่มเป็นมื้อสุดท้าย เขาเคยจำได้ว่าข้าวที่หุงสุกแล้วมีกลิ่นหอมมากแต่วันนี้ความทรงจำนั้นช่างเลือนลางเหลือเกิน ครอบครัวไม่ได้กินข้าวกันมาครึ่งค่อนเดือนแล้ว แม้แต่ข้าวต้มก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้กิน เก็บเอาไว้ให้จางเวยลี่เท่านั้น
ไม่นานนักหลี่อี้หานก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้า เขาตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเข้าป่าไปหาผักป่ามาให้น้องๆ ถ้าวันไหนโชคดีเขาจับกระต่ายป่าหรือไก่ป่าได้ วันนั้นครอบครัวก็จะได้กินเนื้อกัน
ณ ห้องของหลี่ซาน
ซูฮวานั่งเย็บผ้าอยู่ที่มุมห้องเงียบๆ ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้วบ้านนี้หลังใหญ่ก็จริงแต่เริ่มมีรอยแตกและหลังคารั่วมาสักพักหนึ่งแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนหลังคาไม่ใช่น้อยๆ ต้องมีประมาณ 5 ตำลึงเป็นอย่างต่ำ
“พรุ่งนี้ข้าจะไปซ่อมกำแพงเมือง เจ้าบอกอี้หานให้เก็บของเตรียมตัวไปด้วยกัน”เสียงหลี่ซานพูดขึ้น
“พี่ซาน”
ซูฮวารู้สึกพูดไม่ออกคำเหมือนคำพูดมันมาจุกอยู่ที่ลำคอ หลี่ซานใจสลายเพราะเขาถูกพี่ชายแท้ๆโกงเอาทรัพย์สมบัติไปจนหมดตัว
ส่วนครอบครัวของนางเองก็ประกาศขับเธอออกจากวงศ์ตระกูล ไม่มีใครหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แม้แต่คนเดียว
“ดูแลเวยลี่ให้ดีๆท่านผู้เฒ่ามีบุญคุณกับพวกเรายิ่งนัก”
“ได้ ข้าจะดูแลนางให้ดี”
เวลาล่วงเข้ายามซื่อแล้วแต่เวยลี่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา อี้หานก็อดทนรอต่อไปไม่ไหวเนื่องจากต้องรีบไปรายงานตัว เขาดีใจมากที่ในที่สุดบิดาของเขาก็ออกจากห้องมาทำงานทำการแล้วครั้งนี้เขาจะพลาดไปสายไม่ได้
“เวยลี่ เวยลี่เจ้าตื่นเถิด ข้าจะไปสร้างกำแพงเมืองกับท่านพ่อ”
“เวยลี่” ยังคงไม่มีเสียงตอบรับจากคนในห้อง
อี้หานร้อนใจจึงเปิดประตูเข้ามา เขาแปลกใจมากนางไม่ได้ล็อคกลอนไว้
เวยลี่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้สึกตัวแต่ภาพที่เขาเห็นกลับทำให้เขาใจเต้นแรง เวยลี่คงนอนดิ้นจนทำให้เชือกที่รัดเอวของนางหลุด เสื้อตัวบนจึงเผยอออกมาทำให้เห็นเนินอกขาวเล็กน้อย
“เวยลี่...” อี้หานรีบแต่งกายให้นาง ไอความร้อนจากตัวนางทำให้เขาตกใจ เวยลี่กำลังไข้ขึ้นสูงเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนำผ้าไปชุบน้ำแล้วพยายามเช็ดตัวให้
นั่งรออยู่ครู่หนึ่งจนนางอาการดีขึ้นแล้วหลี่ซานก็เดินมาตาม สองคนพ่อลูกก็พยักหน้าให้กัน
อี้หานหันไปดึงผ้าห่มมาห่มให้เวยลี่ก่อนจากไป คราวนี้เขาคงไม่อยู่บ้านประมาณ 2 เดือนเลยไม่รู้ว่ากลับบ้านมาจะเป็นอย่างไร แต่คงได้เงินกลับมาไม่ต่ำกว่า 10 ตำลึง
เขาจะนำเงินมาให้นางเพื่อชดเชยกับการที่เขาไม่ได้ทำหน้าที่สามี และไม่สามารถมอบสิ่งที่นางต้องการให้ได้
หลังจากอี้หานออกไปแล้วเวยลี่ถึงค่อยได้สติฟื้นกลับมา เห็นใบหน้าเล็กๆของอ้ายหนี่ พออ้ายหนี่เห็นว่านางตื่นแล้วก็ยืนตกใจกลัว หนีไปแอบอยู่ข้างหลังของซูฮวา
“ตื่นแล้วเหรอเวยลี่ อี้หานและท่านพ่อไปรับจ้างสร้างกำแพงเมืองอีก 2 เดือนคงจะกลับมา”
“เหตุใดขะ ข้าจึงไม่รู้แล้วนี่ข้าไม่ได้ลุกขึ้นไปส่งเขาเลย”
“เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลกใจหรอก พ่อเขาเพิ่งตัดสินใจเมื่อคืนนี้”
“ท่านพ่อ” เท่าที่นางจำได้หลี่ซานไม่เคยลุกขึ้นมาทำงานไม่ใช่หรือ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจไปสร้างกำแพงงานนี้เงินดีก็จริงแต่ก็หนักไม่ใช่เล่น อีกทั้งยังเสี่ยงอันตรายด้วย
“แม่คิดว่าที่พ่อปรับปรุงตัวไปทำงานทำการส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเจ้าด้วย”
“เพราะข้า?” ซูฮวายิ้มแล้วอธิบายเพิ่มเติม
“ถึงจะไม่ใช่พ่อแท้ๆแต่หลี่ซานก็รักและเอ็นดูเจ้ามาก พอเห็นว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บและบ้านเราไม่ได้ดูแลเจ้าอย่างเหมาะสม พ่อก็เลยอดทนไม่ได้ต้องออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูพวกเราให้ดีขึ้น”
เวยลี่นั่งรับประทานโจ๊กใส่ต้นหอมอยู่เงียบๆ โจ๊กถ้วยนี้คงไม่สามารถทำให้นางอิ่มได้
หางตาของนางเหลือบไปเห็นอ้ายหนี่จ้องโจ๊กถ้วยนี้อย่างไม่วางตา เวยลี่จึงตักขึ้นมาเป่าแล้วยื่นไปป้อนเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า หน้าตาของนางน่ารักมากแต่ผอมเกินไปเหมือนเช่นทุกคนในบ้าน
นางสามารถเดาได้เลยว่าหน้าตาและรูปร่างของเจ้าเจียก็คงไม่ต่างไปจากนี้ เขาแอบมองนางอยู่ตรงประตูอยู่เงียบๆ
อ้ายหนี่ไม่ยอมกินโจ๊กที่นางป้อนจนซูฮวาพยักหน้าอ้ายหนี่จึงเดินเข้ามาแล้วกินโจ๊กที่นางป้อน
เวยลี่มองอ้ายหนี่และยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน นางฝันอยากมีพี่น้องมาโดยตลอดดูเหมือนว่าความฝันนี้จะเป็นจริงในวันนี้แล้ว
ครอบครัวนี้กลายเป็นครอบครัวของนางแล้ว ไม่สิ กลายเป็นว่านางเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ไปแล้ว
“ข้าสัญญาว่าจะทำให้พวกท่านมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ให้ได้!”
ซูฮวาเองก็นั่งมองความเปลี่ยนแปลงของลูกสะใภ้ตรงหน้าและยิ้มออกมา หวังว่านางจะเข้าถึงง่ายไปแบบนี้ตลอด ซูฮวาเดินออกมาจากห้องพร้อมกับถอนหายใจออกมา
อย่างน้อยการที่ได้นั่งคุยกันแบบนี้ก็ถือว่าก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเวยลี่แทบไม่ชายตามองแม่สามีอย่างนางเลย เสื้อผ้าที่เก่าสีซีดและถูกปะชุนเต็มไปหมดของนางคงไม่มีอะไรให้ลูกสะใภ้สนใจสักเท่าใด
