บทที่ 4 เริ่มต้นชีวิตใหม่
บทที่ 4 เริ่มต้นชีวิตใหม่
หูจินหลินและเสี่ยวม่าน หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว ทั้งสองก็รีบทำซาลาเปาและเกี๊ยว แต่พอเสี่ยวม่านเห็นว่าเจ้านายทำอย่างคล่องมือก็แปลกใจไม่น้อย อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้า จึงได้นั่งทำงานต่อเหมือนไม่สนใจอะไร
“เสี่ยวม่าน เธอคิดว่าเราจะขายได้ไหม หน้าปากซอยมีร้านขายอาหารเช้าก็ตั้งเยอะ” หญิงสาวไม่กล้าที่จะทำอาหารในปริมาณที่มาก เพราะกลัวว่าจะขายไม่ได้นั่นเอง
“เราทำในปริมาณที่พอดีก่อนค่ะ เพราะทำการค้าวันแรกฉันเองก็ไม่รู้ตลาดเหมือนกัน ยังไงเราต้องลองคะพี่จินหลิน”
เสี่ยวม่านไม่รู้หรอกว่าจะขายได้ไหม แต่อย่างไรก็ต้องลอง หากซาลาเปาและเกี๊ยวขายมาดีค่อยหาอย่างอื่นทำ อยู่เมืองทางใต้อย่างไรก็ไม่อดตายหรอก
ทั้งสองต่างให้กำลังใจกันในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรื่องความลับ หูจินหลินคิดว่ารออีกสักพักค่อยบอก แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่แปลกใจอะไรก็ตีมึนไปก่อน อย่างไรเย็นนี้เธอตั้งใจว่าจะลองเข้าตลาดมืดดูว่าพอจะมีลู่ทางทำการค้าอย่างอื่นได้อีกไหม
กลับมาทางด้านกวงซีเฉิน หลังจากจัดการเรื่องงานเสร็จแล้ว เขาก็มานั่งคิดถึงเรื่องที่ช่วยหญิงสาวคนหนึ่งไว้ แม้จะไม่อยากสนใจ แต่ความคิดกลับวกมาเรื่องนี้ตลอด
จนในที่สุดต้องเรียกลูกน้องมาถาม
“เธอคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
ตอนแรกลู่จงไม่เข้าใจ แต่พอนึกถึงหญิงสาวที่เจ้านายช่วยไว้ก็พยักหน้าเข้าใจแล้วตอบทันทีว่า “เธอขอหมอออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ เธอยังฝากขอบคุณนายท่านที่ช่วยเหลือ น่าจะเพราะหวาดกลับเลยทำให้เป็นลมน่ะครับ”
“อืม” นี่คือคำตอบที่เขาตอบกลับมา ก่อนจะเฉไปถามเรื่องอื่น “แล้วจับคนที่ขโมยของในโกดังไปได้ไหม”
เรื่องนี้ชายหนุ่มไม่ต้องการปล่อยคนที่กล้าล้วงคอเขา ให้มีชีวิตที่ดี เพราะคนที่กระทำย่อมต้องรู้ผล
“ตอนนี้กำลังตามจับอยู่ครับ ผมคิดว่าน่าจะมีคนช่วยเหลืออยู่ เวลานี้เครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังขาดตลาด โรงงานผลิตออกมาไม่ทัน นายท่านมองหาคู่ค้าคนอื่นไว้บ้างไหมครับ”
หม่าจงกลัดกลุ่มเรื่องที่ไม่มีสินค้าเข้ามาขายมากกว่าตามจับคนขโมยของ เพราะถึงอย่างไรมันคนนั้นไม่มีทางหนีพ้นแน่นอน
แต่เรื่องหาสินค้ามาส่งให้ทันตามกำหนดนี่สิ เรื่องนี้เป็นอะไรที่แก้ยากมาก เพราะถ้าไม่มีสินค้าเข้ามา นั่นหมายความว่าเจ้านายต้องจ่ายเงินค่าปรับก้อนใหญ่
ทางโรงงานที่ทำการค้ากันมาก็เกิดปัญหาผลินสินค้าออกมาไม่ทัน และสิ่งที่พลาดจนทำให้เกิดปัญหาเพราะทางโรงงานเปลี่ยนผู้อำนวยการ และผู้อำนวยการคนนี้หักเหไปทางคู่แข่งของเจ้านาย
แม้จะมีสัญญา และทางโรงงานยอมเสียค่าปรับ แต่เรื่องทำการค้า เจ้านายย่อมต้องเสียหาย ไม่เกี่ยวกับเงินทอง แต่เกี่ยวกับศักดิ์ศรี
พอได้ยินคนสนิทพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของกวงซีเฉินฉายแววเคร่งเครียดอย่างชัดเจน ก่อนจะโบกมือให้คนสนิทออกไป ส่วนตัวเขานั้นลุกขึ้นมาตรงหน้าต่าง แล้วมองออกไปด้วยสายตาที่เป็นกังวล
กลับมาทางด้านของหูจินหลิน หลังจากที่จัดการของที่จะขายพรุ่นี้เรียบร้อยแล้ว หน้าที่ต่อจากนี้จึงส่งให้กับเสี่ยวม่านทำต่อ
“เสี่ยวม่าน แล้วของพวกนี้ไม่เสียหายเหรอ ในเมื่อเราขายของพรุ่งนี้เช้า” หญิงสาวเป็นกังวล เพราะกลัวว่าของที่ทำไว้จะเสียหายเพราะไม่มีตู้เย็นไว้แช่อาหาร
“นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี่ยวฉันนึ่งไว้ก่อน มันจะได้ไม่เสีย” เสี่ยวม่านตั้งใจว่าจะนึ่งไว้ก่อนแล้วเช้าตอนไปขายค่อยยนึ่งใหม่อีกครั้ง ส่วนมากชาวบ้านที่ทำขายก็จะทำแบบนี้
หูจินหลินกลัวว่าของที่ทำไม่สดใหม่ เลยตัดสินใจเอาของทั้งหมดเข้ามิติ ทำให้เสี่ยวม่านมองตาค้างเพราะตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“เธอตกใจใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยถาม พอเห็นว่าเสี่ยวม่านพยักหน้าจึงได้ถามประโยคต่อมา “แล้วกลัวหรือเปล่าที่ฉันเป็นแบบนี้”
“ไม่กลัวค่ะ แต่เพราะอะไรพี่จินหลินถึงทำแบบนี้ได้คะ” สายตาที่มองมาช่างเด็ดเดี่ยว ทำให้หูจินหลินรู้สึกอบอุ่นใจ ที่ญาติเพียงหนึ่งเดียวของเธอไม่หวาดกลัว
“ฉันสามารถทำมันได้หลังจากที่ฟื้นน่ะ แล้วยังมีอีกนะ” พูดจบก็ตัดสินใจเอาจักรยานออกมา นี่จึงทำให้เสี่ยวม่านเบิกตากว้างอีกครั้ง แต่ทว่าในสายตาของเธอไม่มีความละโมบเลยแม้แต่น้อย
นี่จึงทำให้หูจินหลินดีใจที่เสี่ยวม่านเป็นคนดีและไว้ใจได้
“เสี่ยวม่าน ต่อจากนี้ไปเธอไม่ใช่สาวใช้ของฉันอีกแล้ว แต่เธอคือน้องสาวบุญธรรมของฉัน สัญญาได้ไหมว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันไปไหน” นี่คือคำมั่นสัญญาที่หญิงสาวต้องการมอบให้ฝ่าย
เพราะเสี่ยวม่านคือคนเดียวที่ยอมตามมาลำบากกับเจ้าของร่างเดิม
“พี่จินหลิน” เสี่ยวม่านน้ำตาคลอ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมองเธอเหมือนคนทั่วไปไม่ใช่สาวใช้ไร้ค่า
“อย่าร้อง ที่ฉันบอกเธอเรื่องนี้เพราะเธอคือคนเดียวที่ยอมตามฉันมาลำบากทั้ง ๆ ที่เธอสามารถไปใช้ชีวิตของตัวเองได้ ขอบใจมากนะ” หูจินหลินยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ค่ะพี่”
“มาเถอะ รีบเช็ดน้ำตา เราสองคนยังมีเรื่องให้ทำอีกมาก ตอนนี้ฉันต้องการมองลู่ทางเพื่อทำการค้าอย่างอื่น นี่ก็เย็นแล้วไม่รู้ว่าตลาดมืดยังมีไหม” หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะเห็นเสี่ยวม่านร้องไห้เธอเองก็จะร้องไห้ตาม
เสี่ยวม่านรีบปาดน้ำตา จากนั้นทำท่านึกเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “มีค่ะ ตลาดมืดยังเปิดอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีลูกค้าเยอะไหม พี่จินหลินจะลองไปดูหรือเปล่า”
“ไปสิ รออะไรล่ะ เงินกำลังให้พวกเราสองคนไปหาแล้ว” หูจินหลินยิ้มอย่างยินดี
จากนั้นทั้งสองจึงชวนกันไปตลาดอีกครั้ง หวังว่าการเดินทางในครั้งนี้จะมีเงินกลับมา
ทางใต้ไม่เหมือนกับเมืองอื่น เพราะที่นี่คึกคักแทบทั้งวัน เนื่องจากมีพ่อค้าจากต่างเมืองมาตลอด รวมถึงเรือสินค้าด้วย
แม้ว่าจะมีการค้าเสรีกว่าที่อื่น แต่ก็ยังมีสินค้าบางจำพวกที่ควบคุมจากรัฐ นอกเสียจากว่าจะเข้ามาหาซื้อของที่ตลาดมืด นี่เลยทำให้ที่นี่ยังคงคึกคักแม้ว่าจะเย็นมากแล้ว
“ยังมีคนมาหาซื้อของเยอะนะคะ” เสี่ยวม่านพูดขึ้นมา ก่อนจะถามอีกว่า “แล้วพี่จะขายอะไร”
เสี่ยวม่านเห็นว่าในตลาดมืดที่นี่ยังคงมีสินค้ามากมายที่วางขาย และดูเหมือนว่าตล่าดมืดที่นี่ไม่มีคนจากรัฐเข้ามาวุ่นวายเพราะบางร้านเปิดเป็นร้านถาวร
หูจินหลินคิดหนักว่าจะเอาอะไรออกมาขายดี สายตาเห็นชายวัยกลางคนเหมือนกำลังกลัดกลุ้ม และหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาอะไร จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถาม
“สวัสดีค่ะคุณลุง กำลังมองหาอะไรเหรอคะ พอจะบอกได้ไหมเผื่อว่าฉันจะช่วยได้”
ชายวัยกลางคนหันมามอง แม้จะไม่ค่อยเชื่อว่าหญิงสาวคนนี้จะหาสินค้ามาได้ แต่ก็เลือกที่จะตอบคำถามของเธอ
“ฉันมองหาจักรยานน่ะ คู่ค้านัดไว้ แต่นี่เลยเวลามาเกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มาเลย”
“ถ้าฉันหาได้ คุณลุงซื้อขายอยู่คันละเท่าไรคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างดีใจ แต่พยายามเก็บสีหน้าไว้
“ฉันซื้อคันละสองร้อยยี่สิบหยวนน่ะ ฉันต้องการห้าสิบคันเธอหาได้ไหม ถ้าหาได้ฉันให้เพิ่มอีกคันละสิบหยวน” ชายคนนี้ยอมควักเงินมาจ่ายเพิ่มอีกคันละสิบหยวน
หูจินหลินได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง แล้วตอบกลับว่า “ฉันไม่เอาเพิ่มหรอก ขอแค่คุณลุงเป็นลูกค้าประจำก็พอแล้ว”
“หากเธอทำได้ ฉันก้พร้อมจะซื้อกับเธอตลอดไป และขอให้สินค้ามีคุณภาพนะ”
“ตกลงค่ะ เช่นนั้นคุณลุงรอตรงนี้ก่อน ฉันขอไปจัดการและเจรจาเรื่องนี้ให้ เดี๋ยวจะให้น้องสาวมาเรียกหากสินค้าพร้อมแล้ว”
“ตกลง”
หลังจากเจรจากันเรียบร้อย หูจินหลินและเสวี่ยวม่านจึงเดินออกมา ก่อนจะหาที่ลับตาคนและพอจะจอดจักรยานได้ จามาถึงตรอกซอยหนึ่งที่มีที่ว่างและลับตาคนพอดี
พอเอาจักรยานออกมาตามจำนวนแล้ว จึงได้ให้เสี่ยวม่านไปตามลุงคนนั้นมาและให้เขาเตรียมเงินมาให้พร้อม
