สอง ครอบครัวตระกูลซู
บัดนี้จันทร์เสี้ยวลอยเด่นเหนือจวนตระกูลซู ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีมีเสียงล้อรถม้าดังเอี๊ยดอ๊าดมาหยุดลงตรงหน้าประตูใหญ่โดยมีซูซิวเหยาลงจากรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตากระจ่างใสของนางเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ภายในใจยังคงเต้นระส่ำจากเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาที่หอนางโลม
ทันทีที่นางก้าวเข้าผ่านประตูจวนกำลังเดินผ่านเรือนใหญ่ บิดาของนาง ซูเหวินอี้ผู้เป็นประมุขตระกูลซูรีบเดินเข้ามาหานางด้วยท่าทีร้อนใจ
“ซิวเหยา เจ้าหายไปไหนมาทั้งคืน เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นห่วงและกังวลใจเพียงใด”
มารดาเลี้ยงหลงซิ่วเฟินสตรีที่มักแต่งตัวหรูหราไม่สมฐานะ รีบเสริมด้วยน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใย
“ซิวเหยา เจ้าไม่ควรออกจากจวนในสภาพร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจะทำอย่างไร”
“พี่ใหญ่...” เสียงใสของซูซินอวี้ คุณหนูรองผู้งดงามไม่แพ้พี่สาวดังขึ้นข้าง ๆ มารดาของนางซึ่งก็คือหลงซิ่วเฟิน ขณะที่มือเรียวยกขึ้นกุมจับแขนซูซิวเหยา “พวกเราล้วนเป็นห่วงพี่หญิงยิ่งนักเจ้าค่ะ หากพี่ต้องการไปที่ไหนเหตุใดไม่บอกพวกเราก่อนเล่าเจ้าคะ”
แม้กระทั่งจิ้งเหอพ่อบ้านเก่าแก่ของจวน ยังเดินเข้ามากล่าวด้วยความสุภาพ
“คุณหนูใหญ่ โปรดอย่าทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงอีกเลยขอรับ”
บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยคำพูดมากมายถาโถมมายังคุณหนูใหญ่ของจวน ภายใต้นัยน์ตาคมกริบของซูซิวเหยาที่ตอนนี้คือหญิงสาวอดีตสายลับผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมากมาย กลับมองเห็นถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในท่าทีห่วงใยเหล่านั้น
ความเป็นห่วงที่เอ่อล้นเหล่านี้ดูไม่สมเหตุสมผลนักสำหรับครอบครัวตามความทรงจำที่เคยปล่อยให้ร่างนี้ป่วยหนักจนต้องดิ้นรนออกจากจวนไปหาทางรักษาที่โรงหมอมากกว่าการส่งคนไปตามท่านหมอเก่ง ๆ มาหาที่จวน
“ทุกคนดูห่วงข้ากันเสียเหลือเกิน ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ทุกคนลำบากเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงเย็นชา ดวงตาไล่มองทุกคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ความทรงจำของร่างนี้ไม่ครบถ้วนทุกอย่างหรืออาจครบแต่มันไหลมาเยอะจนผสมลงไปในความทรงจำของนางในมิติที่แล้วจึงทำให้นางสับสนไปหมดนั่นเอง
“ซิวเหยา แล้วตกลงเมื่อคืนเจ้าไปที่ใดมา การที่เจ้าหายออกจากจวนคนเดียวในยามวิกาลเช่นนี้อันตรายยิ่งนักไม่รู้หรอกหรือ”
ซูซิวเหยาคลี่ยิ้มบางทว่าดวงตายังคงนิ่งเฉียบ “ข้าเพียงรู้สึกไม่สบาย จึงออกไปโรงหมอในตัวเมืองเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตนเจ้าค่ะ”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกพวกเราเล่า คนในจวนล้วนเป็นห่วงเจ้า หากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจะทำอย่างไร”
“ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ทุกท่านเป็นห่วง” ซูซิวเหยาตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพเช่นเดิม ก่อนที่จะเสริมขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อน “ข้าเกรงใจและไม่อยากรบกวนผู้อื่นเจ้าค่ะ อีกทั้งข้าไม่มีอันใดทำ จึงคิดว่าการเดินทางไปโรงหมอด้วยตนเองคงไม่ใช่เรื่องใหญ่”
ขณะที่นางพูด หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง คำถามหนึ่งสะท้อนอยู่ในใจของอดีตสายลับผู้ไม่เคยไว้ใจใครง่าย ๆ
นั่นสิ หากร่างนี้มีสมาชิกในครอบครัวที่ดีต่อนางขนาดนี้ไยความทรงจำที่เหลืออยู่ในหัวสมองตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว ความรู้สึกเศร้าหมองเช่นนี้เล่า
ซูเหวินอี้มองนางด้วยสายตาแปลกใจ “แล้วหมอว่าอย่างไรบ้าง ทีหลังบอกพ่อบ้านให้ไปตามหมอที่ดีที่สุดมารักษาเถิด”
“หมอเพียงบอกว่าเป็นอาการเล็กน้อยที่รักษาหายได้ ข้ารู้สึกเกรงใจไม่อยากรบกวนผู้อื่น” นางหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวโป้ปดเสริม “หมอที่โรงหมอใจกลางเมืองนั้นมีความสามารถมาก ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่และน้องหญิงไม่ต้องกังวลไป”
ทันใดนั้นเกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้นเมื่อหลงซิ่วเฟินเผลอแสดงสีหน้าตกใจออกมา “หายแล้วหรือ จะหายได้อย่างไร”
คำพูดนั้นหลุดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนที่หลงซิ่วเฟิงจะรีบปั้นหน้ายิ้มแย้มกลบเกลื่อน “ข้าไม่ได้หมายความว่าไม่ดีเพียงแค่แปลกใจเท่านั้น เพราะหมอที่ตรวจร่างกายเจ้าเมื่อเดือนก่อนบอกว่าร่างกายของเจ้าน่าจะต้องใช้เวลาบำรุงให้นานกว่านี้จึงจะดีขึ้น เกรงว่าเจ้าจะไปโดนหมอที่ไหนหลอกมาอีก”
“เชื่อข้าเถิดเจ้าค่ะท่านแม่”
คำพูดและสีหน้าที่หลุดออกมาเพียงชั่วขณะนั้นทำให้ซูซิวเหยาตั้งข้อสังเกตทันที ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจของนาง
เหตุใดมารดาเลี้ยงจึงดูตกใจกับการที่ข้าเกือบหายดี?
หรือว่ารู้อะไรบางอย่างที่ร่างเดิมไม่รู้...
แม้ภายนอกซูซิวเหยาจะแสดงท่าทางเรียบนิ่ง แต่ในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความตื่นตัว นางเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นตรง ๆ เพียงยิ้มบางและกล่าวอย่างสุภาพ
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าสบายดีแล้วจริง ๆ ข้าขอตัวกลับจวนก่อนเจ้าค่ะ”
หลังจากการสนทนากับสมาชิกในครอบครัว ซูซิวเหยากลับมายังเรือนพักส่วนตัวของตน ภายนอกอาจดูเหมือนหญิงสาวผู้สงบเรียบร้อยแต่ในใจของนางกำลังคลาคล่ำไปด้วยคำถามและความสงสัย
นางเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้อง มองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกทองเหลืองเก่าครึ ใบหน้าของนางยังคงงดงามทว่าดวงตานั้นบัดนี้เต็มไปด้วยความเย็นชาและความระแวดระวังเต็มเปี่ยม
“หายได้อย่างไร หึ” คำพูดของหลงซิ่วเฟินสะท้อนอยู่ในความคิดของนาง เสียงที่แฝงความตกใจอย่างไม่ปิดบังของมารดาเลี้ยงทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าสตรีผู้นี้ไม่จริงใจ
“บางทีโรคประหลาดของข้าอาจไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ…”
ความทรงจำจากชีวิตก่อนในฐานะสายลับผู้เคยต่อสู้กับแผนการลอบสังหารและการวางยาพิษผุดขึ้นมา นางเคยเห็นคนใช้ยาพิษออกฤทธิ์อ่อนเพื่อบั่นทอนสุขภาพของเป้าหมายจนค่อย ๆ เสื่อมสภาพก่อนตาย
ร่างบางลุกขึ้นยืนและเดินไปที่เตียง หยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กจากลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา สมุดเล่มนี้เป็นของซูซิวเหยาคนเดิม สุดท้ายมือบางเปิดอ่านด้วยความตั้งใจเพื่อค้นหาเบาะแสเพิ่มเติม
“ข้าไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้เลย…” ข้อความสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือหวัดสะดุดตานาง ข้อความนั้นยิ่งทำให้นางมั่นใจว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของซูซิวเหยาต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความอ้างว้างอย่างแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน ณ เรือนของหลงซิ่วเฟิน
แม่เลี้ยงสาวนั่งอยู่บนตั่งไม้หรูหราปูด้วยผ้ากำมะหยี่ลายดอกไม้งาม มือเรียวที่ประดับด้วยกำไลหยกบีบถ้วยชาร้อนในมือจนกระทั่งไอน้ำร้อนลอยกรุ่น ดวงตาของนางจับจ้องไปยังภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกทองเหลือง นางพยายามระงับความกังวลที่ปะทุขึ้น
“นังเด็กนั่นหายดีได้อย่างไรกัน” เสียงของหลงซิ่วเฟินดังขึ้นแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความร้อนรน
ความเจ็บป่วยของซูซิวเหยาคือสิ่งที่หลงซิ่วเฟินเฝ้าจัดการอย่างลับ ๆ มาโดยตลอด นางใช้เวลาหลายปีอย่างแยบยลในการบั่นทอนสุขภาพของลูกเลี้ยงผู้มีสถานะสูงส่งกว่าลูกสาวนาง ทั้งจัดการด้วยอาหารที่แอบผสมพิษอ่อนและการขัดขวางการรักษาที่เหมาะสม นางตั้งใจจะผลักซูซิวเหยาออกจากเส้นทางคุณหนูใหญ่ในจวนแห่งนี้อย่างแนบเนียนเพื่อลูกสาวในสายเลือดของตนเองได้รับโอกาสดีที่ไม่ได้มีมากนักสำหรับตระกูลขุนนางเล็ก ๆ เช่นตระกูลซูแห่งนี้
“หรือว่า...ยาพิษของท่านผู้นั้นทำงานไม่ดีอย่างที่เขาบอก”
นางหันไปหาสาวใช้คนสนิท “เจ้าไปสืบเรื่องนี้ให้ข้า นังลูกเลี้ยงแพศยาไปพบใครที่โรงหมอกันแน่ และทำไมถึงหายดีได้เร็วถึงเพียงนี้!”
“เจ้าค่ะ”
สาวใช้รีบคำนับและเร่งออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง แต่หลงซิ่วเฟินยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น นางเอนหลังพิงพนักตั่ง ดวงตาคมวาวเต็มไปด้วยความร้ายกาจ
“ซูซิวเหยา เจ้าคิดหรือว่าจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของข้าไปได้” นางหัวเราะเยาะเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อกับตัวเอง “ดูท่าวิธีเดิมคงไม่พออีกแล้ว...”
หลงซิ่วเฟินลุกขึ้นยืน เดินไปยังลิ้นชักลับในห้องนอนใหญ่ของตนเอง นางเปิดลิ้นชักอย่างระมัดระวัง ก่อนหยิบขวดขนาดเล็กที่บรรจุของเหลวใสออกมาหมุนขวดในมือออกของเหลวในนั้นเปล่งประกายวาววับเล่นกับแสงเทียน
“เพิ่มพิษชนิดนี้...” นางพึมพำดวงตาเปล่งประกายด้วยแผนการใหม่ “เพียงไม่กี่หยดในอาหารหรือน้ำชา นางก็จะไม่มีโอกาสชูคอได้อีกต่อไป”
หลงซิ่วเฟินหัวเราะคิกคักในลำคอ พลางวางขวดพิษลงในกล่องไม้อันประณีต นางปิดลิ้นชักด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ข้าจะทำให้เจ้าไม่เหลือทางรอด...ซูซิวเหยา และตำแหน่งของเจ้าจะตกเป็นของลูกสาวข้า”
