ตอนที่6 เริ่มมองเห็นวิญญาณ
ว่านชิงอีเดินตามเขาออกมาพร้อมกับเสี่ยวหม่านและปิงปิง ที่ยามนี้งงกับสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสองคนพานางเดินไปที่ลับตาคน ก่อนจะหันกลับมามองนางอย่างพิจารณา สายตาคมกริบดั่งใบมีดจ้องมองนางอย่างจับผิด
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเตี๊ยมกันมา?” ว่านชิงอีรีบนึกหาคำพูดว่าควรจะตอบอย่างไรดี แต่จู่ๆ ดาบก็พาดมาบนคอ ว่านชิงอีตกใจแทบสิ้นสติ นึกหาคำพูดไม่ออกเลยทีนี้เพราะหวาดกลัวสุดขีด
“ข้ายังเป็นเด็กก็พูดไปเรื่อยเปื่อยท่านอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีรีบพูดออกไปใบหน้าซีดเผือด เสี่ยวหมานเองก็หวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียง แม้จะเป็นห่วงนางมากก็ตาม
“แล้วที่เจ้าพูดว่าสามารถมองเห็นวิญญาณ อันนั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอีกสินะ” บุรุษหน้าหล่อแต่ดูอำมหิตอีกคนถามขึ้น แล้วจะให้นางตอบอย่างไรดีละ
“ชะ..ใช่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีก้มหน้าเอ่ยตอบเสียงอุบอิบ
เจินจางเหว่ยแค่นยิ้มมุมปากกับความไร้สาระของนาง “ข้าเกลียดคนชอบโกหกและพูดเล่นไปเรื่อย ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง” คราวนี้นำ้เสียงเขาดูเยียบเย็นมากจนนางขนลุก
“ข้าเห็นวิญญาณจริงๆ เจ้าค่ะ” คราวนี้ว่านชิงอีรีบตอบเร็วปรือ
“พิสูจน์สิ” เจินซีห่าวเอ่ยบอกนางน้ำเสียงกดดัน ว่านชิงอีเริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาและรำคาญกับบุรุษสองคนนี้ หน้าตาดีหล่อเหล่าแล้วอย่างไร นางไม่มีทางให้มารังแกได้ง่ายๆ หรอกนะ แต่ว่าก็ได้เพียงแค่คิด
. “แล้วจะให้ข้าพิสูจน์อย่างไร ตอนนี้ข้ายังไม่เห็นวิญญาณใครเลย”
“ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง ให้คนของเจ้าไปแจ้งคนที่จวนว่า เจ้าไปกับข้าเหว่ยอ๋อง แล้วข้าจะมาส่งเจ้าเอง” ว่านชิงอีได้ยินก็ตกใจ คนคนนี้คือเหว่ยอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์หรอกหรือ แต่ทำไมดูโหดเหี้ยมและป่าเถื่อน เหมือนไม่ใช่เชื้อพระวงศ์เอาเสียเลย ว่านชิงอีพยักหน้าให้กับเสี่ยวหมาน ก่อนจะตามเขาสองคนไปขึ้นรถม้า พอขึ้นมาบนรถม้าเขาสองคนก็ยกแขนขึ้นกอดอกแล้วหลับตา ว่านชิงอีจึงแอบสนทนากับปิงปิงทางจิต
“เจ้าว่าเขาจะพาข้าไปไหน?”
“น่าจะพาไปพิสูจน์เรื่องวิญญาณนะเจ้าค่ะ”
“แต่ว่าข้าจะทำได้หรือปิงปิงเจ้าต้องช่วยข้านะข้าเปิดเนตรแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็นวิญญาณ ต้องโทษปากข้าที่พาซวย” ว่านชิงอีเริ่มหวาดวิตก จะทำอย่างไรดีหากนางมองไม่เห็นชีวิตนางจบแน่
“อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปเลยเจ้าค่ะ ท่านอาจมองเห็นก็อาจเป็นได้” ปิงปิงรีบให้กำลังใจ ว่านชิงอีถอนใจออกมาหลายต่อหลายครั้ง จนสองบุรุษเริ่มรำคาญ
“เจ้าจะถอนใจทำไมหนักหนา ข้าเริ่มรำคาญเจ้าเต็มที หากไม่อยากตายก็อยู่เงียบๆ” จบประโยคว่านชิงอีแทบกลั้นหายใจ วันนี้นางจะรอดหรือไม่ ความรู้สึกของนางในรถม้า ช่างยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์เมื่อไหร่จะถึงสักที และแล้วรถม้าก็ได้หยุดลง นางถึงถอนใจอีกครั้งอย่างโล่งอก
ว่านชิงอีรีบลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออก เพราะในรถม้านางแทบไม่กล้าหายใจ เจินจางเหว่ยและเจินซีห่าวมองนางอย่างเฉยชา ก่อนเหว่ยอ๋องจะบอกให้นางเดินตามเขาไป ว่านชิงอีเดินตามเขาสองคนจนมาถึงห้องๆ หนึ่ง หน้าห้องมีทหารองค์รักษ์เฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา พอเขามาถึงองครักษ์ก็รีบเปิดประตูให้ทันที เหว่ยอ๋องเดินเข้าไปที่เตียง ที่มีชายผู้หนึ่งนอนอยู่ และมีสตรีใบหน้างดงามผู้หนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง และมีหมออีกสองคนคอยดูอาการ
“อาการของเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง” ?
“ยังไม่ดีขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยตอบอย่างเป็นกังวล เหว่ยอ๋องหันมามองว่านชิงอี
“เจ้าเห็นอะไรบ้างในห้องนี้ ตอบตามความจริง” เขาเน้นย้ำว่านางห้ามโกหก ว่านชิงอีกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะหันไปมองปิงปิง “บอกไปตามที่คุณหนูเห็นก็ได้แล้ว” ปิงปิงเอ่ยขึ้น ว่านชิงอีจึงมองไปรอบๆ ห้องก่อนจะพูดไปตามที่เห็น
“ท่านอ๋องสตรีที่นั่งข้างเตียงเป็นใครหรือเพคะนางดูเป็นห่วงคนผู้นั้นมากเลยเพคะ” พอนางพูดจบ ภายในห้องก็เงียบกริบ เหว่ยอ๋องหันไปสบตากับเจินซีห่าว นี่นางมองเห็นเสด็จแม่จริงๆ หรือ ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เสด็จพอละเมอพูดกับเสด็จแม่ก็เป็นเรื่องจริง
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้พูดไปเรื่อย”
“หม่อมฉันพูดความจริงไม่โกหกแน่นอนเพคะ” วิญญาณพระสนมกุ้ยเฟยพอรู้ว่า ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณของนาง ก็รีบลุกขึ้นมาแล้วเดินมาจับมือของว่านชิงอี
“เจ้ามองเห็นข้ารึ?” ว่านชิงอีพยักหน้าเพราะไม่รู้ว่านางเป็นใคร
“เจ้าช่วยบอกกับเหว่ยอ๋องให้ข้าที ว่าข้าพระสนมกุ้ยเฟยมารดาของเขายืนอยู่ตรงนี้” นางกล่าวจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้มราวทำนบแตก
“ท่านอ๋องพระสนมกุ้ยเฟยให้หม่อมฉันบอกกับพระองค์ว่า พระนางยืนอยู่ตรงนี้” เหว่ยอ๋องได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็แดงก่ำ “เสด็จแม่”
สุดท้ายว่านชิงอีก็ต้องกลายเป็นล่ามให้กับคนและวิญญาณ เพราะพระสนมมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดกับเหว่ยอ๋อง เลยกลายเป็นว่านางต้องมารับรู้เรื่องราวของเชื้อพระวงศ์ เรื่องราวที่นางไม่สมควรได้รับรู้ เพราะนางเป็นใครก็ไม่รู้ ยิ่งเป็นล่ามนานขึ้นเท่าใด ชีวิตของนางก็เหมือนจะสั้นลงเรื่อยๆ ความรู้สึกของนางยามนี้ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี
“เจ้าไม่ต้องกังวลว่าสิ่งที่เจ้าได้รับรู้วันนี้ จะทำให้เจ้าได้รับอันตราย บอกเขาไปว่าข้าบอกให้เขาคอยดูแลเจ้า”
“ให้บอกท่านอ๋องว่า พระสนมบอกท่านอ๋องให้คอยดูแลหม่อมฉันหรือเพคะ! หม่อมฉันว่าคงไม่เหมาะ” ว่านชิงอีรีบปฎิเสธทันที ถึงแม้เขาจะหล่อเหล่าแต่ว่าดูโหดเหี้ยมมากเลย เหว่ยอ๋องหรี่ตามองนาง ที่นั่งสนทนากับวิญญาณมารดาของเขาอย่างจับผิด นางเสแสร้งเก่งหรือว่านี่คือเรื่องจริงกันนะ เขายังไม่อยากปักใจเชื่อ
“เหตุใดข้าถึงไม่เห็นนาง?” เขาถามขึ้น
“พระองค์อยากเห็นพระสนมหรือเพคะ”
“อืม” เขาพยักหน้า ว่านชิงอีจึงลองจับมือพระสนมและจับมือเขา โดยใช้นางเป็นตัวเชื่อม และแล้วเขาก็เห็นมารดาขึ้นมาจริงๆ ว่านชิงอีคิดว่าที่จริงนางน่าจะลองใช้วิธีนี้ตั้งแต่ตอนแรก เสียเวลาให้นางเป็นล่ามตั้งนาน
จากนั้นพวกเขาคุยกันนางก็นั่งฟัง จนตาก็เริ่มปรือเพราะง่วงจนนั่งหลับสัปหงก พระสนมมองนางอย่างเอ็นดู
“เจ้าชื่อว่าอะไร?
“เพคะ” ว่านชิงอีสะดุ้งตื่นจากอาการเคลิ้มหลับ เมื่อพระสนมเอ่ยถามขึ้นมา
“หม่อมฉันนามว่าว่านชิงอีเพคะ”
“ข้าอยากให้เจ้าลองใช้วิธีนี้กับฝ่าบาทดูหน่อย”
“คนนี้คือฝ่าบาทหมายถึงฮ่องเต้หรือเพคะ?” พระสนมกุ้ยเฟยหลุดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดูกับความใสซื่อของนาง ว่านชิงอีจึงเอื้อมมือไปจับมือของฮ่องเต้ แต่ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ ต่างๆ ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นกับฮ่องเต้ ก็ทำเอานางตกใจ เหตุใดนางจะต้องมารับรู้และเห็นเรื่องราวของราชวงศ์ นางไม่อยากอายุสั้น พระสนมกุ้ยเฟยและเหว่ยอ๋องที่เห็นท่าทางของนาง ก็นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นอะไร” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ..หม่อมฉันเห็น เหมือนจะเป็นขันทีข้างกายฝ่าบาท คิดไม่ซื่อวางยาฝ่าบาทเพคะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ! แล้วเหตุใดหมอหลวงถึงตรวจไม่พบเจ้าพูดบ้าอะไรกัน!” เหว่ยอ๋องหลุดบันดาลโทสะคว้าดาบจ่อไปที่ลำคอของนาง แต่เจินซีห่าวรีบเข้ามาขวางไว้ทันที ว่านชิงอีตกใจแทบสิ้นสติหวาดกลัวสุดขีด นำ้ตาคลอเบ้าด้วยความหวาดกลัว คนคนนี้บ้าไปแล้วต่อไปนางจะอยู่ให้ห่างจากเขา
