ตอนที่7 เลือดของนางเป็นยา
หลังจากเหว่ยอ๋องสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว เขาก็นึกโทษตนเองที่บันดาลโทสะใส่นาง จนเกือบจะฆ่านางไปแล้ว ในเวลานั้นเขาเพียงคิดว่า สิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องไร้สาระเพราะหมอหลวงยังตรวจไม่พบ แล้วนางเอาอะไรมาพูด ที่จริงเป็นเพราะเขาไม่อยากเชื่อว่า คนสนิทใกล้ตัวจะกล้าลงมือกับเสด็จพ่อ จึงบันดาลโทสะใส่นาง ท่าทางของนางหวาดกลัวเขามาก เขานั่งมองนางพูดคุยกับเจินซีห่าวและจับมือเขาหนึ่งข้าง พวกเขาคงกำลังพูดคุยอยู่กับมารดาของเขาสินะ ท่าทางของนางดูผ่อนคลายมากกว่าอยู่กับเขาเสียอีก นางก็แค่สตรีวัยเยาว์ผู้หนึ่ง เขาคงทำให้นางกลัวไปแล้ว
ว่านชิงอีพอได้พูดคุยกับเจินซีห่าวถึงรู้ว่าที่จริงแล้ว เขาเป็นคนคุยสนุกคนหนึ่งเลยทีเดียวเลย เขาเป็นบุตรของนางสนมขั้นผินกับฝ่าบาท แต่เพราะนางเสียชีวิตจากไป พระสนมกุ้ยเฟยจึงนำเขามาดูแลเลี้ยงดูพร้อมกันกับเหว่ยอ๋อง เขาจึงนับถือพระสนมเป็นเสมือนมารดา แต่พระสนมกุ้ยเฟยก็อายุสั้นล้มป่วยและเสียชีวิตเช่นกัน เวลานี้มีว่านชิงอีเป็นตัวเชื่อมเขาจึงมองเห็นพระสนมกุ้ยเฟยอีกครั้ง
“คุณหนูว่านพอจะมีวิธีช่วยเหลือฝ่าบาทหรือไม่?” เจินซีห่าวคิดว่าต้องลองถามนางดู เขาเชื่อว่านางต้องมีวิธี
“นั่นสิคุณหนูว่านหากเจ้าช่วยฝ่าบาทได้ เจ้าอยากได้อะไรข้าให้เจ้าหมดเลย” ว่านชิงอีพอได้ยินพระสนมเอ่ยเช่นนี้ใจก็เต้นระริกด้วยความดีใจ สกุลว่านของนางรอดแล้ว หากช่วยฝ่าบาทได้นางจะขอตั๋วเงินสักหมื่นตำลึง แต่ว่านางจะช่วยฝ่าบาทอย่างไร อยู่ๆ ความฝันที่ว่ามีเงินหมื่นตำลึงมาอยู่ตรงหน้าก็หายวับไป ว่านชิงอีจึงส่งจิตไปคุยกับปิงปิง “เจ้ามีวิธีหรือไม่ช่วยข้าคิดหน่อย” ไม่นานปิงปิงกตอบกลับมา “ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”
“หม่อมฉันจะลองคิดหาวิธีช่วยเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันไม่รับปากนะเพคะว่าช่วยได้หรือไม่ เพราะว่าพิษนี้ขนานหมอหลวงยังตรวจสอบไม่พบ หม่อมฉันเกรงว่าความสามารถของหม่อมฉันอาจมีไม่มากพอ” คราวนี้ว่านชิงเริ่มระวังคำพูดมากขึ้น เพราะกลัวว่าดาบจะมาจ่อที่ลำคออีกครั้ง
พระสนมกุ้ยเฟยมองว่านชิงอีอย่างเอ็นดู เด็กสาวคนนี้แม้จะดูเยาว์วัยแต่ก็มีเค้าโครงความสวยงาม อีกปีสองปีนางคงงดมากเป็นแน่ ความสามารถพิเศษของนางใช่ว่าใครจะมีได้ ต่อไปบุรุษคงพากันอยากแย่งชิงนางมาเป็นของตนเป็นแน่ เสียดายที่บุตรชายของนางช่างเย็นชา และอารมณ์ร้อน ดุดันโหดเหี้ยม คงไม่มีสตรีใดอยากเข้าใกล้ ถึงแม้นางจะเอ็นดูว่านชิงอีมากเพียงใด นางก็ไม่อาจเอาความชอบส่วนตัว มาทำให้คนหนุ่มสาวเกิดความไม่สบายใจ
ว่านชิงอีลุกขึ้นเดินไปที่เตียงที่มีฝ่าบาทนอนอยู่ ก่อนนางจะเรียกปิงปิงให้ไปช่วยอีกแรง ปิงปิงสัมผัสแขนของฝ่าบาทพร้อมกันกับว่านชิงอี ก่อนจะตั้งจิตสมาธิ “ข้าอยากได้ยาแก้พิษนี้” พอนางกล่าวจบ ย่ามสะพายที่ปิงปิงสวมอยู่ก็สั่นเบาๆ
“คุณหนูย่ามสั่นมากเลยเจ้าค่ะท่านดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะว่าเป็นเพราะเหตุใด” ปิงปิงรีบส่งยามให้ว่านชิงอี นางจึงรับมาเปิดดู ก็เห็นห่อยาและกระดาษคล้ายจดหมาย นางจึงรีบเปิดอ่าน “เลือดของเจ้าพิเศษมาก ผสมกับยาตัวนี้ต้มดื่มจะได้ผลดี เลือดของเจ้ามีสรรพคุณแก้พิษและต้านพิษได้ดี”
ว่านชิงอีอ่านเสร็จก็เนื้อตัวเย็นเฉียบ หากเลือดนางเป็นยา ต่อไปหากมีคนรู้ คงอยากฆ่านางเพื่อเอาเลือดนางเป็นแน่ เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ ว่านชิงอีส่งกระดาษให้ปิงปิง พอนางอ่านเสร็จก็ทำหน้ายุ่งยากใจ มองว่านชิงอีด้วยความสงสาร
การช่วยเหลือผู้อื่นโดยใช้เลือดตน เป็นดั่งดาบสองคม เพราะทุกคนมีความโลภและความเห็นแก่ตัวอยู่ในตัวเอง หากรู้ว่าเลือดของนางมีความพิเศษ ทุกคนคงอยากแก่งแย่งมาเป็นของตน ว่านชิงอีรู้สึกว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกกับนาง นางไม่มีวรยุทธหรือวิชาป้องกันตัว หากมีคนคิดจะฆ่านาง นางก็คงจบชีวิตลงอย่างง่ายดาย พอนึกถึงตรงนี้ว่านชิงอีก็เศร้าใจอยากบอกไม่ถูก ปิงปิงเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่านางรู้สึกเช่นไร จึงรีบเข้ามาสวมกอดนางแน่น
พระสนมกุ้ยเฟยมองเด็กน้อยวัยห้าหนาว ที่เข้าไปสวมกอดว่านชิงอีอย่างแปลกใจ นางเป็นใครกัน? นางว่าจะถามว่านชิงอีตั้งแต่ตอนเข้ามา เพราะเด็กน้อยนางนี้มีใบหน้าที่น่ารักถูกใจนางเหลือเกิน แต่ทว่าเหตุใดว่านชิงอีถึงดูเศร้านัก เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ
“พระสนม องค์ชายเจินซีห่าว หม่อมฉันอยากได้หม้อต้มยา และอยากปรุงยาในห้องนี้คนเดียวได้หรือไม่เพคะ?”
“ได้สิ” ทุกคนรับปากและพากันออกไปจากห้อง ว่านชิงอีจึงเริ่มต้มยาและรีบกรีดนิ้วชี้ หยุดเลือดลงไปในหม้อ ผสมกับตัวยาในห่อจากนั้นก็ต้มไปสักพัก พอเสร็จนางก็ไปเปิดประตู
“องค์ชายยาต้มเสร็จแล้วเพคะ รอให้เย็นอีกหน่อยก็ให้ฝ่าบาทเสวยได้แล้วเพคะ” พระสนมกุ้ยเฟย เหว่ยอ๋อง เจินซีห่าว รีบพากันเข้าไปในห้องอีกครั้ง เหว่ยอ๋องรีบยกถ้วยมาเป่า เพื่อให้เย็นลงเร็วขึ้น ก่อนเจินซีห่าวจะเข้าไปประคองร่างของฝ่าบาทให้ลุกนั่งพิงตัวเข้า เหว่ยอ๋องค่อยๆ ป้อนยาอย่างช้าๆ ฝ่าบาทรู้สึกตัวอยู่บ้างจึงไม่ลำบากในการป้อนยามากนัก จนยาหมดถ้วยองค์ชายเจินซีห่าวก็ประคองให้ฝ่าบาทนอนลงอีกครั้ง
ผ่านไปสักพักฝ่าบาทก็ลุกพรวดขึ้นมาอาเจียนอย่างรุนแรง ก่อนจะหมดสติไปอีกครั้ง หมอหลวงรีบเข้ามาจับชีพจรดูก็บอกให้ทุกคนเบาใจ ผ่านไปหนึ่งก้านธูปฝ่าบาทก็เริ่มขยับตัว ทุกคนที่เฝ้าดูอาการอยู่ก็ดีใจกันอย่างมาก มีเพียงว่านชิงอีที่พอเห็นว่าเลือดนางได้ผล ก็ยิ่งหวาดกลัวและกังวล
“องค์ชายให้ฝ่าบาทดื่มยาอีกเพคะ หม่อมฉันต้มไว้หลายถ้วย คิดว่าดื่มอีกสามสี่ถ้วยก็น่าจะดีขึ้นแล้วเพคะ” ว่านชิงอีเอ่ยบอกองค์ชายเจินซีห่าว โดยไม่มองเหว่ยอ๋องเลยสักนิดและไม่คิดจะพูดด้วย หากอาการของฝ่าบาทดีขึ้นนางจะขอตัวกลับ เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวใดๆ กับราชวงศ์ กลับไปนอนคิดหาวิธีหาเงินสบายใจกว่า หลังจากดื่มยาถ้วยที่สองฝ่าบาทก็อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พระสนมกุ้ยเฟยรีบดึงแขนว่านชิงอีมายืนข้างเตียง เหว่ยอ๋องพอเห็นว่านชิงอีขยับมายืนข้างเตียง ก็มองนางอย่างงงๆ ว่านางคิดจะทำอะไรเพราะเขามองไม่เห็นพระสนม แต่พอเห็นนางจับแขนฮ่องเต้ เขาจึงพอเดาออกว่ามารดาคงอยากพูดคุยกับเสด็จพ่อ ฮ่องเต้พอเห็นดรุณีน้อยมายืนข้างเตียงพร้อมจับแขนของเขา ก็มองอย่างไม่เข้าใจ แต่จู่ๆ เขาก็เริ่มมองเห็นสนมกุ้ยนั่งอยู่ข้างเตียง ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ฝ่าบาทเป็นนางที่ทำให้หม่อมฉันได้พบพระองค์อีกครั้ง และเป็นนางอีกเช่นกันที่รักษาพระองค์จากพิษที่ขันทีชั่ววางยาพระองค์ เป็นเพราะฝ่าบาทถูกพิษพร่ำเพ้อพูดถึงหม่อมฉัน เหว่ยอ๋องจึงออกไปนอกวังเพื่อจะให้นักพรตมาดูว่า วิญญาณหม่อมฉันยังวนเวียนอยู่ที่นี่หรือไม่ แต่เขากลับพบแม่นางน้อยผู้นี้จึงพามาที่นี่ ฝ่าบาทนางเก่งมากจริงๆ เพคะ พวกเราเป็นหนี้บุญคุณนางแล้ว” พระสนมเอ่ยยื้ดยาวนำ้ตาไหลอาบใบหน้า ฮ่องเต้ฟังสนมรักเล่าเรื่องราวก็เริ่มปะติดปะต่อจนเข้าใจ ก่อนจะยกยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับว่านชิงอี
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าเป็นบุตรสาวของผู้ใด?”
“หม่อมฉันว่านชิงอีเป็นบุตรสาวของเสนาบดีว่านฝ่ายกรมพิธีการเพคะ”
“บุตรสาวเสนาว่านเองหรอกรึ เขาเคยเล่าให้เราฟังเมื่อสิบสี่ปีก่อน ว่าเคยมีนักพรตได้ทำนายทายทักว่า บุตรสาวคนที่สามจะมีบุญญาธิการมากและผู้คนจะได้พึ่งพานาง เราพึ่งเขาใจก็วันนี้เอง” ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อก่อนเขามองว่าเสนาบดีว่านช่างเหลวไหล เชื่อคำพูดของนักพรตอย่างงมงาย แต่มาวันนี้เขาถึงได้เห็นกับตาตนเองโดยไร้ข้อโต้แย้งใดๆ
