บท
ตั้งค่า

ตอนที่5 ปากพาซวย

พอกลับมาถึงจวนว่านชิงอีก็บอกให้เสี่ยวหมาน เอาของสดที่ซื้อจากตลาดไปเก็บที่ครัว ก่อนนางและพี่สาวจะพากันเดินไปพบกับมารดาที่เรือน ว่านซูอวี้แปลกใจที่เห็นสามพี่น้องเดินมาพร้อมกัน แถมยังดูสนิทสนมกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึง ว่านซูอวี้มองนางด้วยสายตาอ่อนโยน

“พวกเจ้าไปไหนกันมาหรือ?”

“ไปตลาดมาเจ้าค่ะ ท่านแม่พวกข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านเจ้าค่ะ” ว่านชิงหลินคุณหนูใหญ่ เริ่มเล่าเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันกับว่านชิงอี จนยามนี้เข้าใจกันดีแล้ว แม้กระทั่งเรื่องทรัพย์สินของว่านชิงอี ที่นางยินดีเอาไปเป็นส่วนกลางเพื่อใช้จ่ายภายในครอบครัว แต่พอได้ยินเช่นนั้นว่านซูอวี้กลับกังวลและไม่สบายใจ ฮูหยินผู้เฒ่าและสามีนางต้องไม่พอใจแน่ ว่านชิงอีเห็นสีหน้ามารดาก็เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ท่านแม่ท่านไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะคุยกับท่านพ่อและท่านย่าเองเจ้าค่ะ ข้ามีวิธีพูดให้ท่านทั้งสองยอมแต่โดยดีเจ้าค่ะ” ว่านชิงอีเอ่ยพร้อมยกยิ้มและทำหน้าเจ้าเล่ห์

“แต่ว่าเงินเหล่านี้อาจจะช่วยสกุลเราไปได้ระยะหนึ่ง ท่านพ่อเงินเดือนก็คงไม่พอ เราต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม วันนี้ข้าเดินสำรวจตลาดก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี ข้าต้องคิดหาวิธีหาเงินให้ได้เจ้าค่ะ” ว่านซูอวี้เห็นท่าทางมุ่งมั่นของบุตรสาวก็ยิ้มอ่อนด้วยความเอ็นดู นางเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สินะ

ว่านชิงอีกลับมาที่เรือนก็เอาแต่ครุ่นคิดว่าจะทำอะไรดี ที่จะหาเงินมาช่วยครอบครัวได้ วันนี้ไปเดินตลาดก็มัวแต่เดินชมนั้นดูนี่ไปเรื่อย ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย

“ปิงปิงเจ้ามาช่วยข้าคิดหน่อย ว่าข้าควรทำอะไรดี”

“คุณหนูไม่ลองเปิดสำนักปราบผีหรือวิญญาณดูละเจ้าคะ” ปิงปิงเสนอแนะเพราะนางเป็นร่างของเทพผู้พิทักษ์ต้องทำได้ดีแน่นอน

“ข้ากลัวว่าจะถูกข้อหาหลอกลวงชาวบ้านนะสิ คราวนี้ข่าวข้าดังกว่าตายแล้วฟื้นอีกนะปิงปิง ว่าแต่ข้ายังไม่เคยเห็นผีหรือวิญญาณจริงๆ เลยนะ ไม่ได้ไม่เชื่อเพราะเจ้าก็เป็นเหมือนวิญญาณตนหนึ่งเช่นกัน จะว่าไปก็เห็นวิญญาณของร่างนี้ที่มาลา”

“ข้าไม่ใช่วิญญาณข้าเป็นเด็กเทพ” ปิงปิงเอ่ยอย่างแง่งอน

“อืมงั้นเด็กเทพเราแอบออกไปสำรวจ ด้านนอกตอนกลางคืนกันมั้ย หากจะทำอาชีพปราบผี เราก็ต้องออกไปดูการตลาดว่ามีผีให้ปราบเยอะหรือไม่” ว่านชิงอีคลุกคลีอยู่กับพ่อที่เป็นพ่อหมอปราบผี แต่แปลกนางกลับไม่เคยเจอผีหรือวิญญาณจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง

“แต่ว่าคุณหนูยุคจีนโบราณมีกฎ ห้ามออกนอกบ้านเวลากลางค่ำกลางคืน ยิ่งเป็นสตรียิ่งไม่เหมาะเจ้าค่ะ”

“แล้วทำอย่างไรข้าถึงจะเห็นผีหรือวิญญาณ ตัวข้าเหมือนมีบางอย่าง ที่ผีหรือวิญญาณไม่กล้ามาปรากฎตัว”

“คุณหนูลองใช้สองมือปิดตา แล้วตั้งจิตทำสมาธิ และบอกให้ดวงตาสวรรค์เปิดเนตรให้ดูเจ้าค่ะ”

ว่านชิงอีลองทำตามในทันที ด้วยการตั้งจิตทำสมาธิและใช้สองมือปิดตาทั้งสองข้าง ไม่นานนางก็มาเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่เงียบสงบ ก่อนจะพบกับร่างของชายชราผมขาว แต่งชุดขาวทั้งชุดนั่งทำสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พอนางมาถึงเขาก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะยืนลูกแก้วสีใสให้ว่านชิงอี เหมือนเขาจะรู้ว่านางมาเพื่ออะไร ก่อนเขาจะหลับตาลงอีกครั้ง ว่านชิงอีรับลูกแก้วมาไว้ในมือ แต่ลูกแก้วกลับลอยเข้าไปในดวงตาของนาง จนนางรู้สึกแสบตาจึงพยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ปรากฏว่านางกลับมาอยู่ที่เรือนของนางแล้ว แต่แปลกคราวนี้นางมองทุกอย่างแตกต่างออกไป เหมือนนางจะมองทะลุไปถึงฝาผนังเลยทีเดียว ดวงของนางคงเปิดแล้วสินะ

เช้าวันต่อมาว่านชิงอีก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะทำอะไรดี จึงตัดสินใจมาเดินเที่ยวเล่นที่ตลาด กับเสี่ยวหมานและปิงปิง วันนี้ตลาดดูคึกคักมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่ามีงานอะไรเพราะดูคนเยอะกว่าปกติ ว่านชิงอีสังเกตว่าผู้คนพากันเดินไปรวมตัวกันที่ศาลากลางเมือง จึงตัดสินใจเดินตามพวกเขาไป เพราะอยากรู้ว่าพวกเขาไปทำอะไรกันที่นั้น

ก่อนจะพบกับร่างของนักพรตผู้หนึ่ง กำลังทำพิธีอะไรสักอย่าง ผู้คนรายล้อมให้ความสนใจกันอย่างมาก ว่านชิงอีแหวกผู้คนเพื่อจะไปยืนด้านหน้า นางอยากรู้ว่านักพรตผู้นี้กำลังทำอะไร ด้านหน้าแท่นบูชามีร่างของชายผู้หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ และด้านข้างยังมีสตรีวัยกลางคนนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่

ก่อนนักพรตจะนำน้ำมนต์มาพรมบนร่างของชายคนนั้น ทันใดนั้นชายผู้นั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง และหันมามองนักพรตตาขวางอย่างไม่พอใจ

“เจ้าผีร้ายออกไปจากร่างของชายคนนี้เสีย มิเช่นนั้นข้าจะจับวิญญาณเจ้ามัดไปถ่วงน้ำไม่ให้ไปผุดไปเกิด” ชายนักพรตกล่าวขู่ผีร้ายในร่างของชายผู้นั้นอย่างดุดัน

“เจ้านักพรตปัญญาอ่อนเจ้าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้รึ” ชายที่ลุกขึ้นนั่งกล่าวออกไปอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนนักพรตจะนำกริชออกมา และเริ่มท่องมนต์คาถา ก่อนจะวางลงไปบนหัวของชายผู้นั้น เขาเริ่มกรีดร้องดิ้นทุรนทุรายสุดท้ายก็แน่นิ่งไป ไม่นานชายผู้นั้นก็เหมือนจะได้สติ และหันไปมองสตรีที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความแปลกใจ

“ท่านแม่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“เจ้าถูกผีร้ายเข้าสิง ยามนี้ท่านนักพรตช่วยขับไล่ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว รีบขอบคุณท่านนักพรตเสีย” หญิงวัยกลางคนรีบบอกบุตรชาย เสียงอื้ออึงของผู้คนที่กล่าวถึงความสามารถของนักพรตดังขึ้นมาทันทีว่า ว่าเขาเก่งกาจมีความสามารถปราบวิญญาณภูตผีได้ ว่านชิงอียืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดก็ได้แต่ถอนใจ กับความเชื่อที่มองด้วยตาไม่เห็น

“ดูก็รู้ว่าเตี๊ยมกันมาไม่มีวิญญาณสิงร่างชายผู้นั้นสักหน่อย” ว่านชิงอีกระซิบกับเสี่ยวหมานเบาๆ

“คุณหนูรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ?” เสี่ยวหมานเอ่ยถาม

“เพราะตัวข้าสามารถมองเห็นวิญญาณได้อย่างไรละ”

“จริงหรือเจ้าค่ะ” เสี่ยวหมานทำตาโต นี่คุณหนูมีความสามารถขนานเห็นดวงวิญญาณเลยหรือ แต่ว่านางก็เคยช่วยให้นางหายตาบอดมาแล้ว เรื่องนี้นางก็คิดว่าก็อาจเป็นไปได้เช่นเดียวกัน

ว่านชิงอีพูดออกมากับเสี่ยวหมาน แต่นางไม่รู้เลยว่ามีสองบุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินสิ่งที่นางพูดทุกคำ และกำลังคิดตามคำพูดของนางที่ว่าพวกเขาเตี๊ยมกันมา และนางบอกว่าสามารถมองเห็นดวงวิญญาณ เรื่องนี้ต้องมีใครโกหกและเขาก็อยากรู้ว่าใครกันที่โกหก

“เจ้าตามข้ามา” ว่านชิงอีหันกลับไปมองก็ตกตะลึงกับความหล่อเหล่าของชายทั้งสองคน แต่ว่าใบหน้าที่แสนเย็นชาและดุดันนั้นน่ากลัวมาก และที่เขากระซิบบอกนางให้ตามออกไปนั้น ซวยแล้ว!ไม่ใช่เขาได้ยินที่นางคุยกับเสี่ยวหมานหรอกนะ เขาคงไม่คิดว่านางเป็นนักต้มตุ๋นหรอกนะ ปากพาซวยจริงๆ เลยเรา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel