หลบหนี
วันถัดมาเมื่อแสงอาทิตย์แรกสาดส่องเข้ามาในกระโจม ชิงเยวี่ยตัดสินใจที่จะหนีดีกว่าเป็นนางบำเรอของแม่ทัพที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมผู้นั้น หลังจากเธอสอบถามจากนางบำเรอที่อยู่ด้วยกัน พบว่าเขานั้นใช้ผู้หญิงอย่างกับทิชชู พวกนางเป็นเพียงที่ระบายความใคร่ของเขาเท่านั้น ถ้าหากนางบำเรอทำตัวไม่ถูกใจเขาก็จะถูกนำตัวไปส่งต่อให้กับคนอื่นก็ยังได้ มันโหดร้ายเกินไปที่จะอยู่ที่นี่ต่อ!
“ต้องหนี…ฉันต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้”
เมื่อทหารเฝ้ายามเผลอ ชิงเยวี่ยรีบฉวยโอกาสเดินออกจากกระโจมไป ความเงียบงันยามเช้าทำให้เสียงฝีเท้าของนางดังชัดเจน นางพยายามหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีทหารลาดตระเวนและมุ่งหน้าสู่ชายป่าที่อยู่ไม่ไกล
ทว่าโชคไม่เข้าข้าง นางถูกทหารลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งพบเข้าจนได้
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงทหารร้องตะโกนขณะที่พวกเขาไล่ตามนาง
ชิงเยวี่ยพยายามเร่งฝีเท้า นางพยายามวิ่งหนีให้ไวเท่าที่จะทำได้ในชีวิต
“อย่าให้เขาจับได้เป็นอันขาด!” นางกัดฟันวิ่งแต่แรงกายที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ทำให้นางสะดุดตอไม้ล้มลง ทหารเข้ามาล้อมตัวนางในไม่กี่อึดใจ
“เจ้าคิดจะหนีรึ?” เสียงทหารเอ่ยอย่างเย็นชา ก่อนจะบีบแขนของนางแน่นแล้วลากกลับไปยังค่าย
เมื่อชิงเยวี่ยถูกพากลับมาถึงกระโจมใหญ่ เสียงเย็นเยียบของมู่หลงชิงก็ดังขึ้นทันทีที่นางถูกผลักลงตรงหน้าเขา
“เจ้ากล้าหนี?” เขามองนางด้วยดวงตาคมกริบ แววตาเต็มไปด้วยความดุดันและความหงุดหงิดที่ยากจะซ่อน
ชิงเยวี่ยเม้มปากแน่น พยายามกลั้นความกลัวที่เอ่อล้นในใจ “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจหนี ข้าแค่ออกไปวิ่งเล่นสูดอากาศ” นางตอบเสียงสั่น
มู่หลงชิงหัวเราะเย็นชา เขาก้าวเข้ามายืนตรงหน้านาง ใบหน้าคมคายก้มลงจนใกล้ชิด ดวงตาของเขามองมาที่นางราวกับพยัคฆ์ที่กำลังจ้องเหยื่อ
“เจ้าคิดหรือว่าข้าจะโง่เชื่อคำพูดของเจ้า และปล่อยเจ้าไปง่ายๆ?” เขากล่าวเสียงเยือกเย็น
“นับจากนี้ เจ้าจะถูกจับตามองทุกฝีก้าว และข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าการต่อต้านข้านั้นไร้ประโยชน์สิ้นดี”
ชิงเยวี่ยหลบสายตาเขา หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและสิ้นหวัง ทว่านางก็ยังไม่ละทิ้งความตั้งใจที่จะหนีออกไปให้ได้จากที่นี่
เมื่อชิงเยวี่ยถูกลากตัวกลับมา ทหารโยนนางลงในกระโจมขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหญิงสาวนับสิบ ทุกคนล้วนเป็นเชลยศึกที่ถูกส่งมาปรนนิบัติมู่หลงชิง
“โอ้ ดูสิ ใครถูกจับมาอีกคน” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
ชิงเยวี่ยขมวดคิ้ว นางพยายามลุกขึ้นจากพื้น แต่แรงของนางยังไม่กลับมาเต็มที่
“เจ้าคิดจะหนีหรือ?” หญิงสาวอีกคนเอ่ยขึ้น “น่าขันนัก พวกเราทุกคนต่างก็เคยลองหนีกันทั้งนั้น แต่เจ้าคิดจริงหรือว่ามันจะสำเร็จ?”
“ใช่” หญิงคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าถูกจับกลับมาทุกครั้ง แต่สุดท้ายก็หนีไม่รอด...”
“เจ้ายังไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร?” อีกคนพูดพลางยิ้มอย่างขมขื่น “เขาไม่ใช่แค่แม่ทัพผู้โหดเหี้ยม แต่เขาคือปีศาจที่ไม่มีใครต้านทานได้”
ชิงเยวี่ยฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ แต่ดวงตาของนางกลับส่องประกายแห่งการต่อต้าน
“แล้วพวกเจ้าคิดจะยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?” นางถามเสียงแข็งด้วยความมุ่งมั่น
หญิงสาวรอบข้างนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะกล่าวขึ้น “พวกข้าไม่ได้ยอมแพ้ แต่แค่ยอมรับความจริง ว่าในค่ายทหารนี้ไม่มีใครเหนือกว่ามู่หลงชิงไปได้หรอก”
คำพูดนั้นคล้ายกับมีดที่แทงลึกลงในใจชิงเยวี่ย ทว่านางก็ไม่อาจปล่อยให้ความสิ้นหวังครอบงำได้ ทันใดนั้นเองนางกลับรู้สึกหิวขึ้นมา
ขณะนี้คือยามอู่ (ช่วงเวลาประมาณ 11.00-13.00 น.) ท้องของชิงเยวี่ยร้องโครกครากหลังจากที่ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า นางหันไปมองกลุ่มนางบำเรอที่นั่งกันกระจัดกระจายอยู่ในกระโจมใหญ่ด้วยท่าทีเฉื่อยชา
“เอ่อ…ขอโทษนะ ข้าต้องไปกินข้าวที่ไหนหรือ?” ชิงเยวี่ยถามด้วยความหิวโหย
นางบำเรอคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสายตาเอือมระอา “กินข้าวหรือ? พวกเรากินตอนที่พวกทหารเอามาส่งให้ยามเช้าตรู่ แต่ถ้าพลาดก็ต้องรอรอบถัดไป”
“แล้วรอบถัดไปคือเมื่อไหร่?” ชิงเยวี่ยถามพลางขมวดคิ้ว
หญิงสาวอีกคนตอบ “อาจจะบ่าย หรืออาจจะไม่มาเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ ทหารพวกนั้นไม่เคยแยแสพวกเราอยู่แล้ว”
ชิงเยวี่ยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางมองไปรอบ ๆ กระโจม หวังจะเห็นอะไรที่พอจะกินได้ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย นางบำเรออีกคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ถอนหายใจ
“เจ้าเป็นคนใหม่ใช่ไหม? ถ้าหิวมาก ก็ลองออกไปขอพวกทหารดูสิ แต่ระวังให้ดีล่ะ พวกนั้นไม่ใช่คนที่จะให้ข้าวใครกินฟรี ๆ”
ชิงเยวี่ยเม้มปากแน่น รู้ดีว่าออกไปขออาหารจากทหารไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง ทว่าท้องที่ร้องไม่หยุดทำให้นางลังเลว่าจะลองเสี่ยงดีหรือไม่
“ข้า…ข้าจะหาทางเอง” นางตอบเสียงเบา พลางครุ่นคิดอย่างหนัก นางรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยง่าย ๆ นางจะต้องพึ่งตัวเองในทุก ๆ เรื่อง แม้กระทั่งอาหารเพียงมื้อเดียว