สอง หวาดกลัวจนฉี่ราด
หา แต่งงาน?
สิ่งที่ให้ตอบแทนคือเรื่องนี้เนี่ยนะ
เฟิงฉีหลินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเป็นหนแรกของวันเลยกระมังที่บนใบหน้านางแสดงความรู้สึกออกมาขนาดนี้
"แต่งงานหรือเพคะ?"
"ใช่ ข้าต้องการให้เจ้าแต่งงานให้ข้า" เขากล่าวอย่างไม่ลังเล "ไม่ต้องกังวลนี่จะเป็นการแต่งงานบังหน้าเท่านั้น เนื่องจากช่วงนี้พวกเจ้าเมืองต่าง ๆ พยายามส่งลูกสาวของพวกเขามาเยี่ยมเยียนใกล้ชิดข้า ข้ารำคาณยิ่งนักและยิ่งไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น"
เหตุผลเพียงเท่านั้นจริงหรือ?
“...”
“ทำไม...เจ้าจะปฏิเสธรึ”
"ไม่ใช่เพคะ...แล้วหม่อมฉันต้องทำอะไรบ้างในการแต่งงานครั้งนี้"
"ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน" อ๋องหนุ่มตอบเสียงเรียบ "เจ้าต้องทำเพียงแค่แสดงบทบาทเป็นพระชายาของข้าต่อหน้าผู้อื่น และปฏิบัติหน้าที่สามี-ภรรยาให้แนบเนียน การแต่งงานนี้จะคงเวลาอยู่เพียงหนึ่งปีเท่านั้น หลังจากนั้นข้าจะปล่อยเจ้าเป็นอิสระ..."
อิสระ...
เฟิงฉีหลินชื่นชอบคำนี้ยิ่งนัก
"หม่อมฉันตกลงเพคะ"
ท่านอ๋องหลินหยางพยักหน้าเล็กน้อย "ดี ถ้าเช่นนั้นเรามาเขียนสัญญาลงลายมือชื่อกันเถอะ"
ต้าอ๋องหลินหยางโบกมือเรียกสาวใช้มาสั่งการให้จัดเตรียมแผ่นกระดาษ พู่กัน น้ำหมึกและแท่นฝนน้ำหมึก ในขณะที่เฟิงฉีหลินนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยข้าง ๆ เขา
ใบหน้าของท่านอ๋องยังคงเคร่งขรึม ขณะที่เขียนข้อตกลงลงบนกระดาษสีขาว นางเฝ้ามองดูอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดสิ่งใด
เมื่อท่านอ๋องหลินหยางเขียนสัญญามาถึงบรรทัดสุดท้าย จู่ ๆ เขาก็หยุดชะงัก พู่กันในมือหยุดเคลื่อนไหว นางเฝ้ามองท่านอ๋องอยู่จึงเกิดความสงสัยเห็นเขามองหาอะไรบางอย่างรอบตัว
"เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ มีอันใดให้หม่อมฉันช่วยเหลือหรือไม่" เฟิงฉีหลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความกังวล
ท่านอ๋องหลินหยางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมามองนาง "หมึกหมด ข้าต้องฝนหมึกใหม่"
เฟิงฉีหลินมองเห็นแท่งหมึกและแท่นฝนหมึกวางอยู่บนโต๊ะ นางรู้สึกได้ถึงความแปลกใหม่ของข้าวของในห้องนี้ ทุกอย่างดูไม่คุ้นเคย นางพยายามนึกถึงวิธีการใช้ แต่กลับรู้สึกสับสนเหมือนอยู่ในโลกที่นางไม่เคยอยู่มาก่อน ความทรงจำที่ขาดหายทำให้นางไม่สามารถจับจุดอะไรได้เลย
"ให้หม่อมฉันช่วยท่านอ๋องได้ไหมเพคะ"
ท่านอ๋องพยักหน้าเล็กน้อย "เจ้าช่วยฝนหมึกให้ข้าหน่อยสิ"
เฟิงฉีหลินก้มมองแท่งหมึกดำอย่างลังเล นางยกมือขึ้นช้า ๆ จับแท่งหมึกอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะหันไปมองท่านอ๋องด้วยความงงงวย "หม่อมฉันไม่เคยทำมาก่อนเพคะ หม่อมฉันต้องทำอย่างไรหรือ"
ท่านอ๋องหลินหยางหันมามองนาง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจว่านางอาจยังไม่ชินกับสิ่งเหล่านี้เพราะสูญเสียไปความทรงจำไป
"ไม่เป็นไร ข้าจะสอนเจ้าเอง"
เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างหลังของนางก่อนค่อย ๆ เอื้อมมือจับมือของเฟิงฉีหลินที่ยังคงจับแท่งหมึกอยู่ มือของเขาเย็นชืดแต่มั่นคง นางรู้สึกถึงแรงกดเบา ๆ บนมือของนาง ขณะที่เขาแสดงวิธีการฝนหมึกอย่างช้า ๆ และละเอียด
แปลก...สมองไม่สั่งให้ปัดป้องเหมือนตอนที่สาวใช้แปลกหน้าผู้นั้นสัมผัสตัวนางเช่นเดียวกัน
อาจเป็นเพราะนางรู้สึกว่าท่านอ๋องผู้นี้เป็นคนช่วยชีวิตตนเองหาได้เป็นคนแปลกหน้า
ก่อนที่ความคิดไร้สาระจะผุดขึ้นมามากกว่านี้เสียงทุ้มนุ่มลึกแต่ยังคงความเย็นชาในนั้นเอ่ยเรียกสตินางให้กลับมาที่ปัจจุบันเสียก่อน
"เจ้าต้องค่อย ๆ กดหมึกลงบนแท่นฝน แล้วถูไปมาเช่นนี้"
“เพคะ”
เฟิงฉีหลินพยายามทำตามที่เขาสอน
"เช่นนี้เข้าใจหรือไม่?" ท่านอ๋องถามพลางผละมือออก
"เพคะ...หม่อมฉันเข้าใจแล้ว"
เฟิงฉีหลินตอบเสียงเบา ใบหน้าของนางแดงขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากความอุ่นร้อนจากลมหายใจมันพัดมารดบนใบหูนาง
เมื่อหมึกถูกฝนจนพอใช้ ท่านอ๋องก็กลับไปนั่งที่เดิม มือของเขาจุ่มพู่กันลงในหมึกก่อนจะเริ่มเขียนต่อบนกระดาษสัญญา นางยังคงยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ มองดูเขาอย่างนิ่งงัน
หลังจากเขียนสัญญาเสร็จสิ้น ท่านอ๋องยื่นพู่กันให้เฟิงฉีหลิน "เจ้าลงชื่อของเจ้าที่นี่"
เฟิงฉีหลินรับพู่กันมาเขียนด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อยเนื่องจากรู้สึกเขียนไม่ถนัด นางจรดปลายปากกาลงบนกระดาษและลงชื่อ "เฟิงฉีหลิน" ชื่อที่ท่านอ๋องตั้งให้ลงไป
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ท่านอ๋องมองสัญญาที่ถูกลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย เขาหยิบสัญญาขึ้นพิจารณา ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
"จากนี้ไป เจ้าคือพระชายาของข้า ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีตามที่สัญญากำหนดไว้หนึ่งปี" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่ง
เฟิงฉีหลินพยักหน้า แม้จะรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงการบังหน้า แต่ก็รู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
"หม่อมฉันจะทำตามข้อตกลงทุกประการเพคะ"
ท่านอ๋องหลินหยางหันไปมองนางเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ "ดี เช่นนั้นเรามาเริ่มต้นชีวิตคู่ตามสัญญานี้เถอะ"
เช้าวันรุ่งขึ้นในขณะที่แสงแดดอ่อนเริ่มส่องลอดผ่านผ้าม่านบางของเรือนพักเฟิงฉีหลินพักอาศัยอยู่ เจ้าของเรือนเพิ่งตื่นจากการนอนหลับยาวในคืนแรกหลังจากเกิดเหตุการณ์ใหญ่ในชีวิตนาง ทว่าตื่นขึ้นมาวันนี้หัวสมองของนางยังคงว่างเปล่าเช่นเคย
ช่างน่าผิดหวังไม่น้อย
เมื่อนางก้าวออกจากห้องพัก เสียงกระซิบกระซาบของสาวใช้และคนงานในเรือนหลังต่าง ๆ ที่เดินผ่านเริ่มดังขึ้น มีบางคนหลบหน้าหรือมองนางด้วยสายตาไม่เหมือนเดิมจนทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจ สาวใช้คนหนึ่งที่มีหน้าที่ดูแลแขกคนใหม่ของจวนรีบเดินเข้ามาพร้อมกับข่าวสำคัญ
"คุณหนูเจ้าคะ มีประกาศจากท่านอ๋องในเช้าวันนี้ ข่าวนี้ทำให้ผู้คนทั่วแคว้นเฉิงฮว๋าต่างพูดถึงกัน"
"ประกาศอะไรหรือ"
"ท่านอ๋องประกาศว่าจะมีพิธีอภิเษกสมรสกับท่านในอีกเจ็ดวันข้างหน้าเจ้าค่ะ" สาวใช้พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เฟิงฉีหลินรู้สึกตกใจไม่น้อย นางคิดไม่ถึงว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการเร็วขนาดนี้ นางเพิ่งรู้จักท่านอ๋องหลินหยางไม่นาน ความทรงจำของนางยังไม่กลับคืนมาทั้งหมดและนางเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานะที่แท้จริงของตนเองเป็นอย่างไรแต่ก็ต้องมาอยู่ในสถานะใหม่ในอีกเจ็ดวันที่จะถึงนี้แล้ว
"แล้ว...ข่าวนี้ ผู้คนเขาพูดกันอย่างไรบ้าง"
สาวใช้หุบยิ้มลงและหลบสายตา "พวกเขาพูดกันว่า...ท่านอ๋องจำเป็นต้องแต่งงานกับท่าน เพราะท่านถูกพระองค์ล่วงเกินไปแล้ว ท่านอ๋องผู้มีจิตใจยึดมั่นใจความถูกต้องจึงต้องรับผิดชอบ แต่นั่นไม่ใช่ความจริงเลย ข้าน้อยรู้ดีว่าท่านอ๋องช่วยท่านมาอย่างมีเกียรติ หาได้เกิดเรื่องผิดประเพณีใดทั้งสิ้นนี่เจ้าคะ"
เฟิงฉีหลินพยักหน้าและไม่แปลกใจที่คนในแคว้นเฉิงฮว๋าพูดถึงเรื่องนี้
ข่าวลือและการพูดคุยแบบนี้เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านอ๋องหลินหยางเป็นบุคคลที่มีอำนาจและเป็นที่สนใจของทุกคน
อย่างไรก็ตาม นางไม่รู้สึกเคืองใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ท่านอ๋องหลินหยางได้ช่วยชีวิตนางไว้จากการถูกพวกชายชั่วพาตัวไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด นางก็ยังถือว่าเป็นความกรุณายิ่ง การแต่งงานตามสัญญาที่ให้ไว้นั้นนางถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่สมควรแล้ว
"ข้าไม่ถือสาหรอก" นางพูดกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับพยักหน้าและเดินต่อไปยังเรือนข้างหน้าสุดเพื่อไปเรียนรู้วิชาการปฏิบัติตัวเป็นพระชายาที่ดีกับอาจารย์ที่คนของต้าอ๋องหลินหยางจัดหามาให้
สองชั่วยามผ่านไป เมื่อมองขึ้นไปบนฟากฟ้าเห็นเมฆขาวลอยกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า เฟิงฉีหลินกำลังนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะอาหารตัวใหญ่ในห้องอาหารส่วนกลางของจวนต้าอ๋อง แม่นมผู้ใจดีที่ดูแลต้าอ๋องตั้งแต่ยังเด็กเป็นคนสอนมารยาทในการทานอาหารให้นางอยู่ด้วยความอดทนและเมตตา
ที่บอกว่าแม่นมผู้นี้นั้นใจเย็นนั้นไม่ผิดเลยสักนิดเดียวเนื่องจากหากเป็นสตรีอื่นมาสอนไม้แข็งที่ดัดยากอย่างคุณหนูผู้นี้ล่ะก็คงล้มเลิกความตั้งใจไปนานแล้วกระมัง
มื้อกลางวันมือนี้เฟิงฉีหลินจะต้องกินให้ตรงตามแบบฉบับกริยาของสตรีชั้นสูงซึ่งบอกเลยว่าสิ่งที่แม่นมพูดมาทั้งหลายนั้นหาใช่ความคุ้นชินในการกินอาหารของนางเลยสักนิด อาหารที่จัดวางเรียงรายบนโต๊ะนั้นน่ารับประทานมากแต่เฟิงฉีหลินกลับต้องมานั่งมองพวกมันเนื่องจากต้องท่องมารยาทที่ต้องปฏิบัติตามให้แม่นมอาวุโสตรงหน้าฟังให้จบก่อนจึงกินได้
“เวลากินอาหารประเภทน้ำซุป ให้ตักขึ้นมาอย่างเบามือ และอย่าเสียงดังนะเจ้าคะ” แม่นมพูดพลางยิ้ม
“ข้าคิดมาตลอดว่าการซดน้ำซุปร้อนให้อร่อยยิ่งต้องซดเสียงดังเสียอีก”
“อย่าเถียงสิเจ้าคะคุณหนู ท่านอ๋องนั้นเป็นคนรักความสงบเรียบร้อย ท่านควรเรียนรู้มารยาทเหล่านี้ไว้เพื่อตัวท่านเอง”
เฟิงฉีหลินพยักหน้าแม้จะยังงงเล็กน้อยกับรายละเอียดมากมายของมารยาทที่ต้องปฏิบัติบนโต๊ะอาหารแต่นางก็พยายามทำตามด้วยความตั้งใจ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่านี่เป็นวิธีที่จะช่วยให้ตนปรับตัวเข้ากับชีวิตในเรือนต้าอ๋องได้ดีที่สุด
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังกังวานอยู่หน้าห้องอาหาร เรียกความสนใจจากทั้งเฟิงฉีหลินให้หยุดช้อนตักน้ำซุปในมือและแม่นมอาวุโสให้พร้อมใจกันหันไปมองประตูที่มีสาวใช้เปิดประตูออกเผยให้แขกผู้มาเยือน ที่ด้านหลังแขกสาวเห็นท่านพ่อบ้านชรายืนหน้าซีดเหงื่อตกอยู่ข้างหลังตอนมองเข้ามาสบตากับเฟิงฉีหลิน
แขกผู้มาใหม่คือสตรีแต่งกายด้วยอาภรณ์เนื้อผ้าแสดงความหรูหราทว่างดงามตามสมัยนิยมปรากฏอยู่หน้าประตู ท่วงท่ายามเดินนำสาวใช้ของตนเข้ามาในห้องดูสง่างามราวกับสตรีในรั้ววังหลวง
สตรีผู้นี้คือคุณหนูเหวินจื่อหลาน บุตรีคนโตของตระกูลเหวิน ตระกูลขุนนางชั้นสูงในแคว้นเฉิงฮว๋า สายตาของนางฉายแววมั่นใจราวกับมีอำนาจอยู่ในมือขณะที่ปรายตาลงมองเฟิงฉีหลินที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งซึ่งเวลานี้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตา
เหวินจื่อหลานเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเรียบแต่แฝงความเย้ยหยัน
“อ๋องหลินหยางไม่อยู่ที่นี่จริงด้วย จริงสิ เมื่อวานข้าได้ข่าวว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับงานบริหารบ้านเมืองในวันนี้ เอาเถอะไหน ๆ ก็มาแล้วข้าตั้งใจจะรอเขากลับมาเนื่องจากข้าต้องถวายเทียบเชิญด้วยมือตนเองเพื่อเชิญท่านอ๋องเข้าร่วมงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าในตระกูลของข้า”