บทที่ 8: ลมหายใจของอสูร
เสียงระฆังเตือนภัยดังก้องกังวานกลางดึกในชิงหยาง เสียงที่ไม่ได้ประกาศสงครามจากภายนอก แต่มันคือสัญญาณจาก “ภายใน” สัญญาณของการกวาดล้าง สัญญาณของการหักหลัง สัญญาณที่บอกว่าคนในเมืองนี้...ไม่ใช่ทุกคนที่ภักดีต่ออุดมการณ์เดียวกัน
ลั่วอวิ๋นกระชับผ้าคลุมเข้าหาตัว ฝีเท้าของเขาหนักแน่นแต่เงียบงัน ก้าวช้า ๆ ไปตามตรอกแคบมืดที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องทะลุใบไม้ลงมาเป็นจุด ๆ ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ แต่หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นทุกย่างก้าว ไม่ใช่เพราะความกลัว—แต่เพราะการคาดการณ์
“พวกมันเริ่มลงมือแล้ว” เขาคิดในใจ
ข้างหลังเขา ไป๋หลานเดินตามมาอย่างเงียบเชียบ ร่างบางของนางคลุมด้วยผ้าคลุมสีหม่น เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่ลั่วอวิ๋นสัมผัสได้—สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่เปล่งออกจากจิตใจนาง
เขาหยุดกะทันหัน ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ
ไป๋หลานหยุดตามทันที ดวงตาสีหม่นมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง เงาดำพาดผ่านหลังคาบ้านหลังหนึ่ง หายวับไปกับเงาจันทร์
"เราถูกล้อมแล้ว" ลั่วอวิ๋นพูดเบา ๆ
เขาสัมผัสได้ทันที—ลมหายใจของ “นักล่า” กำลังซุ่มอยู่ในความมืด มันไม่ใช่ลม มันไม่ใช่เสียง แต่มันคือกลิ่นเหงื่อ กลิ่นเหล็ก กลิ่นของผู้ที่เคยฆ่ามาแล้วนับไม่ถ้วน
เงาสามสี่สายเคลื่อนปิดล้อมโดยไร้เสียง
แต่ว่าลั่วอวิ๋น...กลับเดินช้าลง
ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพื่อท้าทาย
กึก...
เงาหนึ่งพุ่งออกจากมุมตึกอย่างรวดเร็ว มีดสั้นสีดำวาววับสะท้อนแสงจันทร์แทงตรงมายังคอของเขาโดยไม่ลังเล
ฟึ่บ!
เสียงลมหวีดร้อง แต่ร่างของลั่วอวิ๋นเอียงเบา ๆ พ้นจากคมมีดเพียงเส้นผม เขายื่นมือไปจับข้อมือศัตรู บิดด้วยแรงเต็มที่
กร๊อบ!
เสียงกระดูกแตกดังลั่นกลางตรอกเงียบ
ชายชุดดำร้องลั่นในลำคอ แต่ก่อนเสียงจะเล็ดลอดได้เต็มประโยค ลั่วอวิ๋นก็ปักปลายศรใส่ปากมัน เลือดพุ่งออกพร้อมเสียงสำลักกระอักกระอ่วน ร่างนั้นทรุดลงราวหุ่นเชิดที่ขาดเชือก
ทันใดนั้น
เงาสองสายพุ่งตรงไปยังไป๋หลาน!
ดวงตาเธอเบิกโพลง ร่างสะดุ้งแต่ไม่ถอย นางควักมีดสั้นซึ่งซ่อนไว้ในสาบเสื้อ ก้มหลบการโจมตีแรกแล้วแทงสวนใส่ต้นขาศัตรูอย่างแม่นยำ
เสียงแหลมของเนื้อฉีกดังขึ้น เลือดพุ่งกระจาย
แต่ยังไม่ทันตั้งหลัก เงาอีกเงาหนึ่งพุ่งมาจากข้างหลังนาง ไร้เสียง ไร้เงา
"ไป๋หลาน ระวัง!"
เสียงคำรามของลั่วอวิ๋นกึกก้อง ขณะที่เขาพุ่งตัวเข้าขวางแทน คมมีดเฉือนผ่านชายเสื้อของเขา เขาเบี่ยงตัวหลบโดยสัญชาตญาณ และสิ่งที่เขาเห็นในเสี้ยววินาทีคือ...หน้าของคนที่เขาเคยไว้ใจ
คนที่พุ่งเข้ามาคือหนึ่งในองครักษ์ลับของเจ้าชายเซี่ยชิง—ชายที่เขาเคยกินข้าวร่วมโต๊ะ ฝึกศรด้วยกัน และเคยไว้ชีวิตให้ออกไปจากสนามรบเมื่อปีก่อน
"ทำไม?" ลั่วอวิ๋นถามเสียงเย็น ดวงตาเหมือนหลุมดำ
ชายคนนั้นยิ้มเหี้ยม ดวงตาเต็มไปด้วยความละโมบ “ใครจะอยากตายไปพร้อมแคว้นเล็ก ๆ ที่ไร้อนาคต? เจ้าชายซุนเยวี่ยนเสนอค่าหัวเจ้า...สูงกว่าชีวิตสิบชีวิตรวมกันเสียอีก!”
ไม่มีคำเตือน ไม่มีความลังเล ลั่วอวิ๋นปล่อยศรในระยะประชิด ศรทะลุร่างอีกฝ่ายตรงกลางอก เสียงร้องแหบหายไปกับเสียงเลือดที่ไหลทะลัก ร่างล้มลงแทบเท้าเขา
ไป๋หลานเบือนหน้าหนี ร่างของนางสั่นเทา แต่ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว—it คือความผิดหวัง ความโกรธ และความเศร้าที่ซ้อนทับเป็นชั้น ๆ
ลั่วอวิ๋นปัดเลือดจากปลายใบมีด พึมพำกับตัวเองเสียงต่ำ “ไม่ใช่ครั้งแรก…และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย…”
เขาไม่สะทกสะท้าน เพราะหัวใจเขาเคยตายไปแล้วตั้งแต่วันที่เห็นเมืองแรกถูกขายให้ปีศาจโดยน้ำมือมนุษย์เอง
เสียงฝีเท้าอีกชุดดังมาจากทางแยก ลั่วอวิ๋นจับมือไป๋หลานลากเธอหนีเข้าไปในตรอกลึกกว่าเดิม
ทุกย่างก้าวที่พวกเขาวิ่งไปข้างหน้า มีเสียงฝีเท้าของศัตรูไล่ตาม
พวกเขาไม่ใช่ผู้ล่าอีกต่อไป
แต่เป็นเหยื่อในคืนล่า
ไป๋หลานสะดุดล้ม เสียงร้องเบา ๆ ดังจากลำคอ เธอเจ็บที่ต้นแขน แผลจากการโจมตีก่อนหน้าเริ่มส่งผล อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างน่ากลัว
ลั่วอวิ๋นหันมามอง เงียบอยู่นาน...ก่อนที่เขาจะดึงนางแนบอก มือเขากดท้ายทอยเธอไว้ ใบหน้าแนบกับหู กระซิบเสียงเย็น
“ถ้าเจ้าตกเป็นภาระ…ข้าจะฆ่าเจ้าเสียเอง”
ไป๋หลานตัวแข็งทื่อ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
คำพูดนั้น...เย็นกว่าคมมีด
แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา เธอกลับเห็นเพียงความว่างเปล่าที่ลึกยิ่งกว่าความตาย
เขาไม่ได้ขู่
เขาหมายความเช่นนั้นจริง ๆ
ลั่วอวิ๋นหันไปเผชิญหน้ากับเงาที่ไล่ล่าเข้ามา เสียงกลองศึกจากค่ายซุนหลิงดังขึ้นจากทางเหนือ เป็นสัญญาณว่าความขัดแย้งระหว่างแคว้นกำลังจะเริ่มขึ้นอีกระลอก
แต่ในหัวใจของลั่วอวิ๋น ไม่มีเสียงใดชัดเท่า “ลมหายใจของอสูร” ที่เขารู้จักดี
เขา...คือลูกศรที่ถูกลืม
แต่ตอนนี้ เขากำลังจะเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็น “นักล่า”
และสนามล่า...จะเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว