บท
ตั้งค่า

บทที่ 7: คืนแรกในหอนางโลม

ลั่วอวิ๋นเหวี่ยงร่างของหญิงสาวในม่านแดงลงบนฟูกเก่า ๆ ที่เขาพบในกระท่อมร้างกลางป่า เสียงลั่นเอี๊ยดของไม้ผุและฟางเปียกชื้นกระทบกันอย่างหยาบกระด้าง ร่างบางสั่นสะท้านด้วยความหนาว ความเจ็บ และบางสิ่งที่ลึกยิ่งกว่านั้น—ความกลัวที่ซ้อนทับซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจของผู้ถูกใช้ซ้ำจนไร้ตัวตน

เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ผุห่างออกไปเพียงสองก้าว พิงแขนไว้บนหัวเข่า ดวงตาที่เคยเย็นเฉียบในการรบ—ยิ่งเย็นเยียบยิ่งกว่าตอนนี้ ความเงียบระหว่างพวกเขาไม่ได้เกิดจากความไม่ไว้ใจ แต่มาจากสิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจ...สิ่งที่ไม่ต้องพูดก็ทำให้ร่างสั่นไปถึงไขสันหลัง

"พูด" เสียงของเขาไม่ดังนัก แต่หนักราวกับอาคมที่กดวิญญาณลงกับพื้น

หญิงสาวตัวสั่นอีกครั้ง เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามไรผม แม้กระท่อมจะหนาวจนลมหายใจกลายเป็นไอ แต่แผ่นหลังของเธอกลับชื้นเฉอะแฉะจากความกลัวที่ไม่มีที่สิ้นสุด

นางค่อย ๆ คลี่ผ้าคลุมหน้าสีเงินออก ใบหน้าที่โผล่พ้นออกมานั้นซีดเซียวอย่างน่าตกใจ รอยช้ำสีม่วงคล้ำบางจุดยังไม่จาง รอยแผลเป็นจาง ๆ บนลำคอถูกซ่อนด้วยเครื่องประดับทองเก่า ๆ ที่จงใจออกแบบให้สวยงามเพื่อปกปิดบาดแผลมนุษย์

“ข้า…ชื่อไป๋หลาน” เสียงของเธอแตกพร่า แหบแห้งเหมือนคนที่ไม่ได้ใช้เสียงของตนเองมาเนิ่นนาน “ข้าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บจากชายแดนต้าอวี้...หลังสงครามพ่ายแพ้เมื่อสิบกว่าปีก่อน...”

ลั่วอวิ๋นไม่พูดอะไร เพียงแค่มอง สายตาเขาไม่ได้เหมือนดาบ...แต่มันคือขวานเหล็กที่พร้อมเฉือนทุกคำโกหกออกจากลำคอเธอ

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก คำสารภาพที่ตามมานั้นไม่ใช่การขอความเห็นใจ แต่เหมือนการปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการใจของเธอมาเป็นสิบปี

“ข้า...ถูกคัดตัวให้เป็นวัตถุดิบทดลองกลายพันธุ์ ข้ารอด...แต่ไม่สมบูรณ์” นางหัวเราะในลำคอ มันไม่ใช่เสียงหัวเราะที่ควรจะได้ยินจากใครเลย “ข้าไม่เหมาะเป็นอสูร แต่ข้ากลับ ‘ควบคุมอสูร’ ได้...”

นางเลิกเสื้อคลุมของตนขึ้น

ลั่วอวิ๋นเห็นรอยสักโบราณรูปดอกเหมยกลางท้องน้อย ลวดลายเส้นหมึกสีดำที่แผ่คลุมไปตามเส้นชีพจรดูไม่เหมือนรอยสักมนุษย์ มันเต้นตามจังหวะหัวใจของเธอ ราวกับมีชีวิต

“ตรานี้...ฝังเข้ากับเส้นปราณข้า ทำให้กลิ่นชีพจรของข้าเชื่อมกับอสูรทดลอง มันเหมือนกับข้ายื่นอาหารให้พวกมัน พวกมันสงบเมื่ออยู่ใกล้ข้า...แต่หากข้าตาย พวกมันจะคลุ้มคลั่งมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก”

ลั่วอวิ๋นขยับตัวช้า ๆ เดินเข้าใกล้ มือหยาบกร้านที่เคยจับคันธนูแน่นหนาตอนนี้ยื่นมาแตะรอยสักนั้นเบา ๆ เขาไม่ได้จับเพราะหลงใหล แตะเพราะประเมิน คำนวณ ตรวจสอบ

ไป๋หลานสะดุ้ง แต่ไม่ถอย ไม่ใช่เพราะเธอไม่กลัว แต่เพราะเธอไม่มีอะไรให้ถอยอีก

“ข้ากลัวเจ้าหรือ?” เธอย้อนถามเบา ๆ น้ำเสียงไม่ใช่การท้าทาย แต่คล้ายหญิงที่ไม่มีสิ่งใดให้เสียอีกแล้ว “ข้ากลัวทุกคน แต่กลัวที่สุด...คือถูกทิ้งขว้าง”

ประโยคสุดท้ายนั้นไม่ใช่การสารภาพ แต่เป็นรอยแผลที่ปริออกกลางห้อง

ลั่วอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่ง

เขาเองก็ไม่ต่างจากเธอ

เขาเคยถูกทิ้ง

ครอบครัว เขตกำเนิด ชาติพันธุ์

เขาก็แค่ศรดอกหนึ่งที่ไม่มีใครต้องการ

บางอย่างในอกเขาเต้นกระตุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

เขาไม่เข้าใจตัวเองนัก แต่เขาไม่ได้ผลักความรู้สึกนั้นออกไป

เขาโน้มตัวลง เหวี่ยงร่างไป๋หลานขึ้นฟูก

มันไม่ใช่การยั่วยวน ไม่ใช่การปลุกเร้า

มันคือการประกาศความเป็นเจ้าของที่เปื้อนเลือดและความแค้น

ริมฝีปากของเขาครอบงำริมฝีปากของนาง

หยาบกระด้าง หนักแน่น ไร้ความอ่อนโยน

มือหนึ่งรั้งเอว อีกมือกดข้อมือเธอกับเตียง

กลิ่นเหงื่อ กลิ่นเลือด และกลิ่นของความยินยอมที่ปนเปื้อนกับความจำยอม

ไป๋หลานไม่ได้คร่ำครวญ แต่เสียงครางของเธอเปล่งออกมาพร้อมน้ำตาที่ไหลข้างแก้ม

เธอปล่อยให้ร่างกายรับรู้...เพียงเพราะนี่คือวิธีเดียวที่เธอยืนยันว่า

เธอยัง "มีชีวิต"

เขากระแทกแรงขึ้น

เธอข่วนหลังเขาเลือดซึม

ไม่มีคำพูด ไม่มีสัญญา ไม่มีรัก ไม่มีใครเป็นเจ้าของใคร

คืนที่พวกเขาพังทลายเข้าหากัน

เหมือนเถ้าถ่านสองกองที่รวมกันจนกลายเป็นเพลิงอีกครั้ง

หลังจบสัมพันธ์ ลั่วอวิ๋นนั่งพิงผนังห้องเงียบ ๆ สายตามองเพดานผุ

ไป๋หลานนอนหายใจรวยรินข้างเขา

เขาหยิบผ้าห่มขาด ๆ คลุมให้เธอ

ทั้งที่เธอไม่ได้ขอ

เขาไม่ได้พูดขอโทษ

เธอไม่ได้กล่าวคำรัก

แต่ความเงียบของทั้งสอง...บอกว่าพวกเขาเข้าใจกัน

มันไม่ใช่ความรัก

แต่มันคือ “คำสาบานของคนที่ไม่เหลืออะไรให้เสียอีก”

และจากคืนนี้เป็นต้นไป

พวกเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ในสงครามที่จะไม่มีใครรอดโดยลำพัง
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel