บท
ตั้งค่า

ตอนที่4 สมรสพระราชทาน

เหตุการณ์สองเดือนก่อนหน้านี้...

ณ พระราชวังหลวงแห่งแคว้นหยวน บรรยากาศเต็มไปด้วยความวิจิตรตระการตา โคมไฟหลากสีส่องสว่างทั่วท้องพระโรง ม่านไหมระย้าสีทองประดับประดาอย่างงดงาม กลิ่นหอมของธูปและดอกไม้ลอยคละคลุ้งไปทั่ว

เหล่าขุนนางและแขกผู้มาเยือนจากห้าแคว้นนั่งเรียงรายตามโต๊ะที่จัดไว้อย่างสมฐานะ เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังแว่วไปทั่ว ผสมผสานกับเสียงดนตรีอันไพเราะ

เมื่อถึงเวลา เสียงประกาศก็ดังขึ้น "ขอเชิญ คุณหนูหลิวเสี่ยวเฟย บุตรีแห่งราชครูหลิวเหวิน แสดงความสามารถถวายฝ่าบาทและเหล่าคณะทูต"

ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างอรชรในชุดไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกท้อ หลิวเสี่ยวเฟยย่างก้าวอย่างสง่างามสู่กลางห้องโถง ใบหน้างดงามดุจบุปผาเปล่งปลั่งด้วยความมั่นใจ

ภาพลักษณ์ของนางในวันนี้ ไม่เหมือนกับหลิวเสี่ยวเฟยผู้ที่คอยวิ่งตามความรักของแม่ทัพหลี่หนิงหลงเลยแม้แต่น้อย หากแต่เหมือนนางในช่วงก่อนที่ความทรงจำของนางจะสูญสิ้นไป

หลิวเสี่ยวเฟยได้รับแจ้งจากบิดาว่า มีรับสั่งให้นางเตรียมการแสดงในงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าคณะทูตจากต่างเมือง เดิมทีแล้ว นางเองก็มีความประหม่าและหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่า นางสามารถใช้โอกาสนี้แสดงความสามารถให้แก่แม่ทัพหลี่หนิงหลงประทับใจได้ เมื่อนั้น นางจึงมีความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะทำการแสดงอย่างสุดความสามารถ

เวลาผ่านไปก่อนที่จะมีการแสดง หลิวเสี่ยวเฟยก็ได้บังเอิญรู้มาว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งต่าง ๆ ในวันนี้ล้วนได้มีการจัดเตรียมแผนการเอาไว้แล้ว และนางก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในแผนการนี้ก็เท่านั้น

นางไม่ได้อยากเป็นเพียงแค่หมากของใคร นางจะทำหน้าที่ต่อจากนี้ให้ดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็จะไม่ขอยอมรับในโชคชะตาที่ผู้อื่นได้ขีดเอาไว้ให้ หลิวเสี่ยวเฟยแอบวางแผนการอยู่ภายในใจ

นางเริ่มการแสดงด้วยการบรรเลงพิณ นิ้วเรียวยาวดีดสายอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มจังหวะให้เร้าใจขึ้นเรื่อย ๆ เสียงเพลงไพเราะจับใจ ราวกับสายน้ำไหล ทำให้ผู้ฟังต่างก็รู้สึกเคลิบเคลิ้ม

เมื่อบรรเลงพิณจบลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่ว หลิวเสี่ยวเฟยโค้งคำนับอย่างสง่างาม ใบหน้างดงามของนางเปล่งปลั่งด้วยความภาคภูมิใจ

เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้ ทำให้นางค่อย ๆ หวนนึกถึงเรื่องราวของนางที่นางได้หลงลืมไป แต่ก็เป็นเพียงความทรงจำแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หลิวเสี่ยวเฟยคิดว่า เพียงเท่านี้ก็ดีมากแล้ว อีกไม่นานนางจะต้องสามารถจดจำตัวตนของนางในอดีตได้อย่างแน่นอน

เมื่อหลิวเสี่ยวเฟยทำการแสดงจบสิ้นลง ก่อนที่นางจะกลับไปยังที่นั่งของตน ทันใดนั้น องค์หญิงห้า หรือองค์หญิงหนิงอันก็ลุกขึ้นยืน พระพักตร์เปื้อนยิ้มกว้าง

"คุณหนูหลิว การบรรเลงพิณของเจ้าช่างไพเราะจับใจยิ่งนัก" องค์หญิงตรัสด้วยน้ำเสียงชื่นชม ก่อนจะเอ่ยต่อ "ข้าได้ยินมาว่าเจ้าร่ายรำได้งดงามไม่แพ้กัน เช่นนั้นแล้ว เจ้าช่วยแสดงการร่ายรำให้พวกเราได้ชื่นชมสักหน่อยได้หรือไม่" แม้จะดูเป็นการเอ่ยถามและกล่าวชมเชย แต่หลิวเสี่ยวเฟยรู้ดีว่านางไม่อาจปฏิเสธได้

สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่หลิวเสี่ยวเฟย นางเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงหนิงอัน ก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้ง "หม่อมฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งเพคะ ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเมตตา"

ขณะที่หลิวเสี่ยวเฟยเตรียมตัวร่ายรำ องค์หญิงหนิงอันทรงนั่งลงด้วยรอยยิ้มพอพระทัย หากหลิวเสี่ยวเฟยผู้นี้สามารถแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยม นางก็จะเป็นที่ประทับใจของแขกเมืองและผู้คนจากต่างแคว้น

องค์หญิงหนิงอันทรงวางแผนที่จะใช้ความงามและความสามารถของหลิวเสี่ยวเฟยเป็นเครื่องมือในการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นอื่น โดยส่งหลิวเสี่ยวเฟยไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีแทนพระองค์

เสียงดนตรีเริ่มบรรเลง และหลิวเสี่ยวเฟยก็เริ่มร่ายรำอย่างอ่อนช้อย ทุกสายตาจับจ้องที่ร่างระหงในชุดไหมสีชมพูอ่อน ที่กำลังเคลื่อนไหวราวกับผีเสื้อโบยบิน ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความหมาย เล่าเรื่องราวแห่งสันติภาพและมิตรภาพระหว่างแคว้น

เมื่อการแสดงจบลง เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง ฝ่าบาททรงปรบพระหัตถ์อย่างพอพระทัยยิ่ง

"คุณหนูหลิวเจ้าช่างมีพรสวรรค์ยิ่งนัก ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ" ฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงชื่นชม พระเนตรทอประกายด้วยความพึงพอใจ "ข้าจะให้รางวัลเจ้า เจ้าอยากได้สิ่งใด จงเอ่ยมา"

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทั่วห้องโถง ทุกคนต่างตื่นเต้นกับพระราชดำรัสของฝ่าบาท นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับพระราชทานรางวัลอันล้ำค่า ใช่ว่าใครก็จะสามารถคว้ามาได้ง่าย ๆ

หลิวเสี่ยวเฟยยืนนิ่ง ใบหน้างดงามแฝงไว้ด้วยความประหม่า นางก้มหน้าลงต่ำ ไม่กล้าสบพระเนตรฝ่าบาทโดยตรง

ฝ่าบาททอดพระเนตรมองนางอย่างพินิจ ในพระทัยทรงคิดว่านางคงไม่มีความกล้ามากพอที่จะทูลขอสิ่งใด พระองค์ทรงรอคอยด้วยความอดทน หากนางไม่เอ่ยปากขอสิ่งใด พระองค์ก็ทรงเตรียมรางวัลอันล้ำค่าไว้ให้แก่นางแล้ว ซึ่งนั้นก็คือตำแหน่งของท่านหญิงนั่นเอง

ช่วงเวลานั้น องค์หญิงหนิงอันเองก็ทรงทอดพระเนตรมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้น พระทัยเต้นรัวด้วยความคาดหวัง หากเสด็จพ่อทรงสถาปนาหลิวเสี่ยวเฟยขึ้นเป็นท่านหญิงได้ เพียงเท่านี้แผนการของพระองค์ก็จะสำเร็จลุล่วงไปอีกขั้นแล้ว

บรรยากาศในห้องโถงเงียบกริบ ทุกคนต่างรอคอยว่าคุณหนูสกุลหลิวผู้นี้จะกล้าเอ่ยปากขอสิ่งใดหรือไม่ หรือว่าฝ่าบาทจะพระราชทานรางวัลอันใดให้แก่นางกันแน่

เวลาผ่านไป ในที่สุด ฝ่าบาทก็ทรงเอ่ยพระสุรเสียงขึ้นอีกครั้ง "เจ้าช่างถ่อมตัวเกินไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร หากเจ้าไม่เอ่ยขอสิ่งใด ข้าเองก็ได้เตรียมรางวัลอันสมควรแก่ความสามารถของเจ้าไว้แล้ว" พระองค์ทรงหยุดชั่วครู่เพื่อดูท่าทีของนางอีกครั้ง

ท่าทีของนางเช่นนี้ นับเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ไม่น้อย เพียงเท่านี้ แผนการที่มีก็นับว่าราบรื่นแล้ว

เมื่อได้ยินพระดำรัสของฝ่าบาท หลิวเสี่ยวเฟยดูเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาทตรง ๆ

หลิวเสี่ยวเฟยรู้ดีว่า หากนางยังนิ่งเฉยหรือไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ชะตาชีวิตนับต่อจากนี้ นางก็ไม่อาจกล่าวโทษผู้ใดได้แล้ว

นางรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหันไปมองหน้าของแม่ทัพหลี่หนิงหลงที่นั่งอยู่ไม่ไกล และช่างเป็นเรื่องที่น่าบังเอิญยิ่งนัก ที่เขาก็กำลังจ้องมองนางอยู่เช่นกัน

‘ท่านแม่ทัพ ข้าขอโทษ’ นางส่งคำขอโทษนี้ผ่านทางสายตาไปให้แก่เขา

นับต่อจากนี้ ไม่ว่าเขาจะต่อว่าหรือตำหนินางเช่นไร นางล้วนยินดียอมรับและจะชดใช้ให้เขาด้วยชีวิต เพียงแต่ตอนนี้ เห็นทีว่านางจำจะต้องเลือกเส้นทางเดินของชีวิตตนเองแล้ว

"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีความปรารถนาหนึ่งสิ่งเพคะ" นางรวบรวมความกล้ากล่าวทุกถ้อยคำออกมาด้วยความหนักแน่น

ฝ่าบาททรงพยักพระพักตร์ ทรงพระสรวลอย่างอ่อนโยน แม้ว่าจะทรงแปลกพระทัยมากเพียงใดก็ตาม "เจ้าจงว่ามาเถิด"

หลิวเสี่ยวเฟยสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ตนตั้งใจเอาไว้ออกมา "หม่อมฉัน...อยากที่จะทูลขอพระราชทานสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทเพคะ"

ทันทีที่คำพูดของนางสิ้นสุดลง บรรยากาศในห้องโถงก็เปลี่ยนไปในพริบตา เสียงพูดคุยและเสียงดนตรีที่ดังอยู่เบา ๆ หยุดชะงักลงโดยสิ้นเชิง ความเงียบอันน่าอึดอัดแผ่ปกคลุมไปทั่ว

ใบหน้าของทุกคนต่างเผยความตกตะลึง บ้างอ้าปากค้าง บ้างขมวดคิ้วด้วยความไม่เชื่อหู องค์หญิงหนิงอันทรงนิ่งงัน ใบหน้าซีดเผือด แผนการที่วางไว้อย่างดีกำลังจะพังทลายลงต่อหน้าต่อตา

ฝ่าบาทเองก็ทรงประหลาดพระทัยไม่น้อย พระองค์ทรงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ พระเนตรจับจ้องที่ใบหน้าของหลิวเสี่ยวเฟยอย่างพินิจ ด้วยคิดไม่ถึงว่านางจะกล้าทูลขอสิ่งใด

บรรยากาศตึงเครียดแผ่ปกคลุมไปทั่วห้องโถง ทุกคนต่างรอคอยพระราชดำรัสของฝ่าบาทด้วยใจจดจ่อ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง ๆ ทุกสายตาจับจ้องไปที่ฝ่าบาทและหลิวเสี่ยวเฟยสลับไปมา ต่างก็เฝ้ารอดูว่าเหตุการณ์จะดำเนินไปในทิศทางใด

"เจ้าปรารถนาที่จะแต่งงานกับผู้ใดหรือ" ฝ่าบาทตรัสถาม

หัวใจของหลิวเสี่ยวเฟยเต้นรัวแรง แต่น้ำเสียงของนางกลับยังคงมั่นคงไม่สั่นคลอน

"หม่อมฉันขอบังอาจทูลขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท เป็นสมรสระหว่างหม่อมฉันและแม่ทัพหลี่หนิงหลงเพคะ" เมื่อนางกล่าวจบ เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วท้องพระโรง

บรรดาขุนนางและแขกเหรื่อต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง บ้างก็กระซิบกระซาบกันเบา ๆ ด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสกุลหลิวผู้นี้จะมีใจหาญกล้ามากถึงเพียงนี้

ฝ่าบาททรงนิ่งงัน พระพักตร์ฉายแววลำบากพระทัย พระองค์ทรงรู้ดีว่าหลี่หนิงหลงเป็นแม่ทัพคนสำคัญ นอกจากนี้แล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม่ทัพหลี่ผู้นี้ยังไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับสตรีใดอีกด้วย เช่นนั้นแล้ว แม้จะกล่าวว่าเป็นราชโองการ พระองค์ก็ทรงคาดเดาได้ว่า แม่ทัพหลี่ย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน

แต่เมื่อได้ตรัสออกไปแล้วว่าจะพระราชทานสิ่งใดก็ได้ตามที่หลิวเสี่ยวเฟยปรารถนา พระองค์จึงไม่อาจคืนคำได้

"แม่ทัพหลี่ เกรงว่าเรื่องนี้เราคงต้องถามความยินยอมจากท่านแล้ว จะอย่างไร การแต่งงานก็ควรมาจากความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย" ฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่หนักแน่น ก่อนที่จะหันมาทางหลิวเสี่ยวเฟย

"คุณหนูหลิว เจ้าเองก็คิดเช่นนี้หรือไม่" แม้จะเป็นคำถาม หากแต่หลิวเสี่ยวเฟยก็รู้ดีว่า ฝ่าบาทตั้งพระทัยที่จะให้แม่ทัพหลี่หนิงหลงเป็นผู้ปฏิเสธนางแทนพระองค์

“เพคะ” นางตอบรับ หากเขาไม่ยินยอม นางก็เพียงแค่ต้องยอมรับในชะตากรรมที่เหลือต่อจากนี้ก็เท่านั้น แต่อย่างน้อย ก็ถือว่านางได้ทำอย่างสุดความสามารถในส่วนของนางแล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตเถิด นางเหนื่อยที่จะดึงดันอีกต่อไปแล้ว

บรรยากาศภายในงานตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่แม่ทัพหลี่หนิงหลง ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องความเด็ดเดี่ยวและไม่สนใจเรื่องการแต่งงาน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าหาเขาได้ หากแต่คุณหนูสกุลหลิวผู้นี้ แม้จะเป็นบุตรสาวของราชครูหลิว แต่ก็ดูจะหวังมากจนเกินไปแล้ว แม่ทัพหลี่หนิงหลงผู้นี้จะยอมแต่งกับนางได้อย่างไรกัน

หลิวเสี่ยวเฟยยืนนิ่ง ใบหน้างดงามซีดเผือด นางไม่กล้าสบตากับแม่ทัพหลี่หนิงหลงโดยตรงอีกต่อไป แต่ก็พยายามรักษาท่าทีให้สงบนิ่งที่สุด

องค์หญิงหนิงอันทรงมองเหตุการณ์ด้วยความวิตกกังวล พร้อมทั้งหวาดกลัวว่าสถานการณ์จะดำเนินไปเช่นไร

ขณะที่ทุกคนต่างก็เฝ้ารอฟังคำตอบ แม่ทัพหลี่หนิงหลงยืนตัวตรง สีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใด

ฝ่าบาททรงรอคอยคำตอบด้วยความอดทน พระทัยของพระองค์คาดการณ์เอาไว้ว่าแม่ทัพหลี่จะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นจะทำให้พระองค์มีทางออกในสถานการณ์นี้

ทุกคนในห้องโถงต่างกลั้นหายใจเพื่อรอฟังคำตอบของแม่ทัพหลี่หนิงหลง ซึ่งคำตอบของเขาจะกลายมาเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของหลิวเสี่ยวเฟยต่อจากนี้

ก่อนหน้านี้ สายตาของหลี่หนิงหลงได้จับจ้องไปที่ร่างบอบบางในชุดไหมสีชมพู ความสามารถของนางทำให้เขารู้สึกทั้งประหลาดใจและชื่นชม แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกแปลกใจในความกล้าที่นางมีในตอนนี้ด้วย

สิ่งใดกันที่เป็นสาเหตุให้นางตัดสินใจทูลขอสมรสพระราชทานเช่นนี้ เขาได้แต่นึกสงสัย

แววตาที่ดูมุ่งมั่นและมั่นใจของนางเมื่อครู่ ตอนที่นางทำการแสดง หลี่หนิงหลงคิดว่า ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนกับแววตาของคนที่วิ่งตามเพื่อร้องขอความรักจากเขาในช่วงเวลาก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

นางไม่วันนี้ ไม่เหมือนนางที่เขาเคยรู้จักมาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา หรือไม่แน่ว่าตัวเขาอาจจะไม่เคยรู้จักนางเลยก็เป็นได้ นางกล้าประกาศต่อหน้าทุกคนว่าอยากที่จะแต่งงานกับเขาได้อย่างไรกัน หลี่หนิงหลงครุ่นคิดภายใต้ใบหน้าที่นิ่งเฉย

หลี่หนิงหลงมองสบสายตากับหลิวเสี่ยวเฟยชั่วครู่ ในดวงตาคู่นั้นของนาง เขาเห็นความหวาดหวั่นและความหวังที่ซ่อนอยู่ เขาลุกจากที่นั่งและก้าวออกมาจากที่ยืนที่ด้านหน้า ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนรอบข้าง และคุกเข่าลงเบื้องหน้าฝ่าบาท

"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยินดีที่จะแต่งงานกับคุณหนูสกุลหลิว พ่ะย่ะค่ะ" เสียงของเขาหนักแน่นและชัดเจน เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมาเพื่อดับความหวังขององค์หญิงหนิงอันโดยสิ้นเชิง

ในขณะที่หลิวเสี่ยวเฟยนั้น เมื่อได้ยินคำตอบรับจากเขา จากเดิมที่นางมั่นใจว่าเขาจะต้องเอ่ยปากปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่เมื่อได้ฟังคำตอบจากปากของเขาแล้ว สมองของนางก็ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีกต่อไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel