ตอนที่5 สตรีโง่งม
ยามเย็นแห่งฤดูใบไม้ร่วง ณ สำนักศึกษาลู่จื้อ สถานที่ถ่ายทอดความรู้อันเก่าแก่และทรงเกียรติ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบและภูมิฐาน อาคารไม้โบราณสีเข้มตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ใบไม้ร่วงปลิวว่อนตามสายลมอ่อน ส่งเสียงแผ่วเบาเมื่อกระทบพื้น
แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเย็นทอดยาวผ่านหน้าต่างเข้าสู่ห้องสมุด ทำให้เกิดเงาวูบไหวบนชั้นหนังสือไม้เก่าแก่ ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาลู่จื้อต่างอยู่ในชุดคลุมยาวสีขาวนั่งก้มหน้าอ่านตำราอย่างตั้งใจ บ้างก็เดินไปมาระหว่างชั้นหนังสือ เสียงกระซิบและเสียงพลิกหน้ากระดาษดังแผ่วเบา
สำนักศึกษาแห่งนี้ มีพื้นที่เปิดให้คนภายนอกเข้ามาอ่านตำราได้ และหลิวเสี่ยวเฟยก็คือหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบมานั่งอ่านตำราที่นี่เป็นที่สุด
เวลาผ่านไป ผู้คนก็เริ่มเหลือน้อยลง ขณะที่หลิวเสี่ยวเฟยยังคงนั่งอ่านตำราอย่างตั้งใจ อีกไม่นานนางก็ต้องแต่งงานแล้ว คงไม่มีเวลามาอ่านตำราที่นี่เหมือนอย่างเคยแน่นอน เช่นนั้นแล้ว นางจึงอยากที่จะใช้เวลาอยู่ที่นี่ให้นานสักหน่อย เผื่อว่าความทรงจำที่หล่นหายจะหวนคืนกลับมา
ท้องฟ้าสีทองแดงเริ่มมืดลง เมฆสีเทาเข้มเคลื่อนตัวมาปกคลุมอย่างรวดเร็ว บดบังแสงสุดท้ายของวัน ลมเย็นพัดแรงขึ้น พัดใบไม้และกระดาษปลิวว่อน เสียงลมหวีดหวิวผ่านซอกมุมอาคาร
แต่แล้วจู่ ๆ เสียงกรีดร้องแหลมก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืด ตามมาด้วยแสงสีส้มวาบจากหน้าต่างชั้นล่างของอาคารหลักสำนักศึกษา ความโกลาหลเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อทุกคนตระหนักว่าไฟได้เริ่มลุกไหม้ขึ้นแล้ว
หลิวเสี่ยวเฟยกำลังอ่านตำราอยู่ในห้องสมุดที่ชั้นสอง เมื่อได้ยินเสียงโกลาหล นางจึงรีบวิ่งไปที่ระเบียงที่อยู่ใกล้สุด ก่อนจะพบว่าเปลวไฟกำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว ควันดำพวยพุ่งขึ้นมาปกคลุมทั่วบริเวณ กลิ่นไหม้แสบจมูก ทำให้นางไอไม่หยุด
หัวใจของหลิวเสี่ยวเฟยเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว นางพยายามวิ่งไปทางประตูที่อยู่ใกล้บันได แต่เปลวไฟได้ปิดกั้นเส้นทางหนีทั้งหมดเสียแล้ว เสียงไม้ลุกไหม้และเสียงตึกร้าวดังขึ้นรอบด้าน
ขณะที่หลิวเสี่ยวเฟยกำลังมองหาเส้นทางหลบหนี นางก็พลันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของใครสักคน ก่อนที่นางจึงเดินตามเสียงนั้นไป และพบว่าผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงร้องนั้น คือคุณหนูสกุลจาง จางจินเยว่ นั่นเอง
หลิวเสี่ยวเฟยพอที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวของคุณหนูสกุลจางผู้นี้ที่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพหลี่มาอยู่บ้าง เรื่องราวที่พวกเขาทั้งสองเคยเป็นคนรักกัน แต่กระนั้น ช่วงเวลานี้นางก็ไม่อยากที่จะคิดฟุ้งซ่านมากจนเกินไป การหนีเอาตัวรอดนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำมากที่สุด
“คุณหนูหลิว ชะ ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย” จางจินเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวด้วยความหวาดกลัว เพราะตอนนี้นางถูกชั้นหนังสือล้มทับอยู่
ทั้งสองพยายามช่วยกันที่จะยกชั้นหนังสือออก แต่ชั้นหนังสือนั้นหนักเกินไป ขณะที่ควันหนาทึบรุกคืบเข้ามา ทำให้การหายใจยิ่งเป็นไปอย่างยากลำบาก หลิวเสี่ยวเฟยรู้สึกดวงตาแสบร้อน น้ำตาไหลพราก ความร้อนจากเปลวไฟแผ่ซ่านมาถึง ทำให้ผิวบอบบางของพวกนางเหมือนถูกเผาไหม้
“มีใครอยู่ด้านในบ้าง” เสียงร้องตะโกนถามจากด้านนอกดังเข้ามา เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองก็ต่างพยายามส่งเสียงเรียกให้พวกเขาได้รู้ว่ายังมีคนติดอยู่ในนี้
หลิวเสี่ยวเฟยรู้ดีว่าตนเองไม่อาจอยู่เฉยได้ นางพยายามอย่างสุดแรงอีกครั้งเพื่อที่จะยกชั้นหนังสือที่หนักอึ้งนี้ออกไป ก่อนที่จะช่วยพยุงจางจินเยว่ออกมาได้ในที่สุด
“คุณหนูหลิว แค่ก ๆ ข้า ขะ...ขอบคุณท่านมาก” จางจินเยว่กล่าว ก่อนที่จะรีบผละกายออกมาจากชั้นหนังสือเมื่อครู่นี้ ด้วยเกรงว่ามันอาจจะถล่มลงมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร เรารีบหนีกันก่อนเถิด” หลิวเสี่ยวเฟยตอบ ขณะที่กำลังประคองจางจินเยว่ให้ลุกขึ้น
ขณะที่กำลังรอให้คนมาช่วยเหลือ ทั้งสองก็พยายามที่จะหนีไปรอที่หน้าประตู แต่เดินไปได้เพียงครึ่งทาง เปลวไฟก็ยิ่งโหมกระหน่ำ
ในขณะที่จิตใจกำลังหวาดกลัวและสิ้นหวัง ประตูด้านหน้าก็ได้ถูกพังลงมา ท่ามกลางฝุ่นควันและเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ หลี่หนิงหลงปรากฏกายต่อหน้าพวกนางทั้งสอง
หลิวเสี่ยวเฟยเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา ด้วยระยะทางอีกไม่ไกล พวกนางก็จะหนีออกไปจากกองเพลิงนี้ได้แล้ว คิดไม่ถึง เมื่อนางพยายามพยุงจางจินเยว่ให้ก้าวเดินต่อไปด้วยกัน จางจินเยว่กลับล้มลง ก่อนที่นางจะกล่าวว่าตนเองไม่สามารถเดินต่อไปได้อีกแล้ว
“ท่านไหวหรือไม่ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น” หลิวเสี่ยวเฟยเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
“คุณหนูหลิว ขาของข้า เกรงว่าจะไปต่อไม่ไหวแล้ว ท่านรีบหนีไปเถิด” จางจินเยว่กล่าว พร้อมกับสายตาที่มองไปที่หลี่หนิงหลงที่ตอนนี้กำลังใกล้เข้ามาเป็นระยะ
“ไม่ได้ เราจะออกไปด้วยกัน” หลิวเสี่ยวเฟยให้กำลังใจอีกฝ่าย จะอย่างไรทางออกก็อยู่ไม่ไกลแล้ว นางจะไม่ยอมถอดใจในตอนนี้อย่างแน่นอน
ในขณะที่หลิวเสี่ยวเฟยกำลังพยายามที่จะพยุงจางจินเยว่อีกครั้ง แต่จู่ ๆ จางจินเยว่ก็แสดงท่าทีร้อนใจขึ้นมา “ยะ...แย่แล้ว หยกของข้า หยกที่ท่านแม่ให้ข้าไว้เป็นที่ระลึกหายไป” นางกล่าวพร้อมร้องไห้ออกมา
“หยกเช่นนั้นหรือ” หลิวเสี่ยวเฟยเอ่ยถามด้วยความสงสัย ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ จะยังมีสิ่งใดสำคัญมากกว่าการหนีเอาตัวรอดได้อีก
“ใช่ ข้าจะไปหาหยก กำไลหยกของท่านแม่ นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ท่านแม่ได้มอบไว้ให้แก่ข้า” จางจินเยว่กล่าวพร้อมน้ำตามที่ไหลลงมาเป็นทาง นางพยายามที่จะคลานกลับไปยังทิศทางเดิมที่เดินจากมาอย่างดูน่าสงสาร
หลิวเสี่ยวเฟยทราบว่ามารดาของจางจินเยว่ได้จากไปแล้ว และหยกชิ้นนั้นคงมีความสำคัญและมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก นางจึงได้พยายามกวาดสายตาเพื่อมองหา เพียงไม่นาน นางก็พบกว่าหยกชิ้นนั้นหล่นอยู่ไม่ไกล
“เช่นนั้นท่านรอข้าอยู่ที่นี่” หลิวเสี่ยวเฟยกล่าวด้วยความรีบร้อน ทางออกอยู่ไม่ไกลแล้ว และแม่ทัพหลี่ก็อยู่ที่นี่ จะอย่างไรย่อมไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นางเผลอวางใจเช่นนั้น
ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลเท่าไร หลิวเสี่ยวเฟยพยายามปิดจมูกและกั้นลมหายใจเพื่อเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง และเมื่อไปถึงแล้ว นางก็ก้มเก็บหยกที่หล่นอยู่ขึ้นมาด้วยความโล่งใจ
“คุณหนูจาง ขะ ข้า...” หลิวเสี่ยวเฟยหันกลับมา นางอยากจะบอกจางจินเยว่ว่าเจอกำไลหยกชิ้นนั้นแล้ว แต่เมื่อหันกลับมาแล้ว ภากที่เห็นก็พลันทำให้จิตใจของนางนิ่งงันชั่วขณะ
หลี่หนิงหลงกำลังอุ้มจินเยว่และวิ่งออกไปจากห้องนี้ที่เปลวไฟกำลังลุกไหม้อย่างร้อนรน ใบหน้าหวานของจางจินเยว่ซบลงที่หน้าอกของเขาอย่างดูออดอ้อนและคุ้นเคย ขณะเดียวกัน หลี่หนิงหลงก็กระชับอ้อมแขนของตนเองเพื่อกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
เพียงแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หลิวเสี่ยวเฟยก็พลันได้เห็นสายตาที่จางจินเยว่มองมาที่นาง เป็นสายตาที่ทำให้นางได้รู้ว่า ตนนั้นได้พลาดไปแล้ว นางพลาด ที่ไว้ใจผู้อื่นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
ในช่วงเวลานั้น หลิวเสี่ยวเฟยพยายามคิดเพื่อปลอบใจตนเองว่า ไม่ว่าจะอย่างไร หลี่หนิงหลงย่อมต้องหวนกลับมาเพื่อช่วยเหลือนางอย่างแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้นางก็จะต้องพยายามหนีออกไปจากที่ตรงนี้ให้ได้ ไม่ใช่แค่รอความช่วยเหลือจากเขาเท่านั้น
เขาคือคู่หมายของนาง และอีกไม่กี่วัน พวกเขาทั้งสองก็จะแต่งงานกันแล้ว เขาย่อมไม่มีทางที่จะทิ้งนางไว้เช่นนี้อย่างแน่นอน หลิวเสี่ยวเฟยพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นทิ้งไป แล้วหันมาสนใจกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้
จังหวะนั้น ขณะที่หลิวเสี่ยวเฟยกำลังจะก้าวขาเดินออกมาจากพื้นที่ที่แคบและมีเปลวไฟล้อมรอบ ชั้นวางหนังสืออีกชั้นตรงหน้านางก็ได้ถล่มลงมาปิดเส้นทางเดินที่จะเดินไปยังประตู
ตอนนี้นางรู้สึกตื่นตะหนกและตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้วในตอนนี้ ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เรี่ยวแรงและความหวังที่มีในก่อนหน้านี้พลันเลือนหายไปจนสิ้น นางสำลักควันจนหมดแรงและไม่อาจฝืนเดินต่อไปได้แล้ว
“แค่ก ๆ” หลิวเสี่ยวเฟยเริ่มสำลักควันมากยิ่งขึ้น ดวงตาพร่ามัวไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน ขณะที่ในมือของนางยังถือกำไลหยกของจางจินเยว่เอาไว้แน่น ประหนึ่งว่านี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของนางได้ในเวลานี้
เมื่อประตูที่เป็นทางออกเดียวได้ถูกปิดลงพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชน หลิวเสี่ยวเฟยก็พยายามถอยหลังออกมามองหาทางออกอื่น และในจังหวะนั้น ผนังห้องบนชั้นสองก็พลันพังทลายลง เผยให้เห็นภาพเบื้องล่างที่ดูเลือนรางในชั่วขณะ
ในขณะที่นางยังคงเฝ้ารอว่าหลี่หนิงหลงจะหวนกลับมาเพื่อช่วยนางอยู่นั้น ภาพที่ปรากฏต่อหน้านางกลับเป็นภาพของหลี่หนิงหลงที่ยังคงโอบอุ้มจางจินเยว่ไว้แนบกายและกำลังเดินห่างจากอาคารนี้ออกไปเรื่อย ๆ โดยที่เขาไม่คิดย้อนหรือหันกลับมามองนางที่อยู่เบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพ... ข้าอยู่ที่นี่” หลิวเสี่ยวเฟยกล่าวด้วยความหมดหวังและเสียใจ เพียงไม่นาน เปลวเพลิงก็พวยพุ่งขึ้นอีกครั้งส่งเสียงดังไปทั่วทั้งบริเวณ ภาพสุดท้ายที่ปรากฏอย่างเลือนรางในสายตา นางเห็นเพียงร่างของเขาที่หันกลับมา แต่นางไม่อาจรับรู้ได้ว่า สีหน้าของเขาที่เห็นว่านางยังอยู่ท่ามกลางกองเพลิงนี้เป็นเช่นไร
เมื่อสิ้นเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง หลิวเสี่ยวเฟยก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
“เสี่ยวเฟยเอ๋ย หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เจ้าอย่าได้เป็นคนโง่งมเช่นนี้อีกเลย” คำอธิษฐานสุดท้ายของหลิวเสี่ยวเฟย ก่อนที่ดวงจิตของนางจะก้าวเข้าสู่ความมืดมน
