บทที่ 19 ร่างกายอ่อนแอ
“เสี่ยวซี!! เจ้าเป็นอะไรตื่นสิ...ตื่น” อี้ปินเอ่ยเรียกพร้อมกับตบแก้มทั้งสองข้างเพื่อเรียกสติอีกฝ่ายให้ตื่น เพราะดูจากใบหน้าของเด็กน้อยยามนี้แล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“พี่อี้ปิน...” เหวินซีลืมตาขึ้นมาก็ตกใจเมื่อเห็นอี้ปินอยู่เบื้องหน้า พลางกวาดสายตาไปมองรอบห้องพบว่าเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย คิ้วเรียวขมวดกันแน่นเมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
“ตอนนี้เราอยู่เมืองเหิงฟู่ ข้ามีเงินไม่มากแล้ว จึงได้พักห้องเก่า ๆ เช่นนี้” อี้ปินเอ่ยบอก จากนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบถ้วยยาที่เขาขอให้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมช่วยต้มมาให้เพื่อป้อนเด็กน้อย
“มันคืออะไร?” เหวินซีเอ่ยถาม
“ยาแก้ไข้และยาบำรุง” อี้ปินเอ่ยตอบพร้อมจ่อถ้วยยาที่ปากคนป่วย แต่เหวินซีก็ยังไม่ยอมที่จะเผยอปากรับยาถ้วยนั้น
“ข้าไม่กิน ยาอะไรทำไมถึงได้กลิ่นแรงเช่นนี้ อีกอย่างข้าไม่เป็นอะไรแล้วหายแล้วยาไม่ต้องกินก็ได้” เหวินซีเบี่ยงหน้าหลบแล้วเอ่ยบอกอีกฝ่าย
“เจ้าต้องกินเพราะมันดีสำหรับตัวเจ้าเอง อีกอย่างท่านหมอบอกว่าร่างกายของเจ้าอ่อนแอเพราะได้รับอาหารที่ไม่เหมาะสม” อี้ปินเอ่ยบอก ก็นางไม่ค่อยกินอาหารที่เขาทำสักเท่าไรนักที่นางกินได้ก็มีแต่ผลไม้
“ก็ได้ ข้ากินยาก็ได้” เหวินซีเมื่อเห็นใบหน้าเศร้าหมองของอีกฝ่ายก็ยอมใจอ่อนรับถ้วยยามาดื่ม นางเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าร่างกายของตนยามนี้มันผอมมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ นางก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทั้งที่ก็กินอาหารครบทั้งสามมื้อแล้วแท้ ๆ เมื่อก่อนตอนอยู่บนสวรรค์ไม่กินอะไรเลยยังไม่เห็นว่าจะผอมเช่นนั้น แต่เรื่องนี้ก็เข้าใจได้เพราะตนเองเป็นเทพธิดาอยู่บนสรวงสวรรค์ร่างกายย่อมไม่เหมือนมนุษย์
“ข้าจะลองออกไปหางานในตลาด เผื่อว่าโชคดีได้งานจะได้มีเงินซื้ออาหารอร่อย ๆ ให้เจ้ากิน” อี้ปินเอ่ย
“ห่วงแต่ข้าอยู่ได้ท่านเองก็ควรใส่ใจตัวเองบ้าง”
“เจ้านอนพักผ่อนเถิดประเดี๋ยวข้าจะกลับมา” เอ่ยจบอี้ปินก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที ตอนนี้ยังไม่เย็นมากเท่าไรเผื่อว่าจะมีคนจ้างยกของเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดี
หลังจากอี้ปินเดินออกไปเหวินซีก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง พอสายตามองไปยังเพดานก็ต้องตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง แต่เมื่อได้สติก็ปรับสายตาเป็นปกติคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เหวินซีหลับตาสงบจิตใจเหมือนว่าทุกอย่างจะปกติดีแต่นางคิดผิด แปะ...แปะ...มีบางอย่างหยดลงมาใส่หน้าของนางหยดแล้วหยดเล่า
เหวินซียกมือขึ้นลูบใบหน้าที่มีของเหลวหยดลงมา เมื่อมองดูก็พบว่ามันไม่ใช่น้ำแต่มันคือเลือด ในที่สุดความอดทนของเหวินซีก็หมดลง
ดวงตากลมโตมีประกายสีเงินพาดผ่าน เหวินซียกมือขึ้นแล้วสะบัดเพียงครั้งเดียว วิญญาณจากที่เคยเกาะอยู่บนเพดานห้อยหัวลงมาอย่างน่าเกลียดน่ากลัว บัดนี้ร่วงลงพื้นอย่างเวทนา เหวินซียกยิ้มดูเหมือนว่าพลังของนางจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
วิญญาณร้ายที่มีเลือดท่วมกายร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด มันไม่คาดคิดเลยว่าเพียงแค่ต้องการหยอกล้อให้อีกฝ่ายได้เกรงกลัว จะได้หนีกระเจิงออกจากห้องนี้ไปเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่เคยเข้ามาพัก แต่มันไม่คิดเลยว่าจะโดนเล่นงานกลับเช่นนี้
“เหตุใดถึงไม่ไปอยู่ในที่ของตนเอง มาเที่ยวหลอกผู้อื่นได้อย่างไร” เหวินซีเอ่ยถามเมื่อเห็นวิญญาณตรงหน้าสงบลงและไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาทำร้าย
“ข้าอยู่ที่นี่มานานอีกอย่างเที่ยวหลอกผู้อื่นแบบนี้แล้วมันสนุกดี” เสียงทุ้มแหบแห้งเอ่ยตอบ หากผู้อื่นได้ยินคงได้ขนกายตั้งชัน
“ข้าไม่กลัวเจ้าหรอกอย่ามาทำเสียงสยองใส่ข้า” เหวินซีเอ่ยบอก นางเคยเจอเหล่าวิญญาณมามากมาย จนตอนนี้จิตใจของนางเข้มแข็งขึ้นมากแล้ว
“เด็กน้อยเจ้าช่างน่าสนใจ” วิญญาณตรงหน้ายังไม่เลิกที่จะทำเสียงแหบแห้งเยือกเย็น
“ข้าขอเตือนว่าอย่ามายุ่งกับข้าจะดีกว่า...หากเจ้ายังไม่รีบไปอย่าหาว่าข้าใจร้าย” เหวินซีรู้สึกโมโหขึ้นมาเมื่อเห็นมือที่มีเลือดติดอยู่ และวิญญาณตรงหน้าก็ยังสกปรกผมเผ้ารุงรังใบหน้าก็มีเลือดสีแดงไหลไม่หยุด มันชวนให้ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม
“พูดดีหน่อยสิเด็กน้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าโกรธเจ้าเป็นคนแรกที่พูดคุยกับข้าข้าย่อมรู้สึกดีใจ ส่วนคนอื่น ๆ เมื่อเห็นข้าต่างก็วิ่งหนีกระเจิง” วิญญาณหนุ่มยังเอ่ยต่อเนื่องเพราะนานครั้งมันจะได้พูดคุยกับมนุษย์
“ดูสภาพของเจ้าตอนนี้ใครจะอยากพูดคุยด้วย อีกอย่างไม่ต้องปรากฏกายให้ผู้คนเห็นจะดีที่สุด มันจะเป็นบาปติดตัวของเจ้าเอง” เหวินซีเอ่ยสั่งสอน
“ก็ข้าเหงา ข้ารู้ตัวว่าตายอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดมารับตัวข้าไป หรืออาจเป็นเพราะว่าข้ายังมีห่วงอยู่ แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าคืออะไร”
“อ้าว...หากเจ้าไม่รู้แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน”
“เจ้าเป็นคนแรกที่ไม่กลัวข้าเจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าอาจจะมีครอบครัวที่รอข้าอยู่ก็ได้”
“ก็อาจเป็นไปได้ที่ท่านยังมีห่วงอาจจะเป็นเรื่องครอบครัวหรือไม่ก็เป็นเรื่องการตาย เจ้าพอจะจำได้หรือไม่ว่าตนเองเป็นใครและตายเพราะอะไร” เหวินซีเอ่ยถาม เพราะหากว่านางไม่ช่วยวิญญาณตนนี้เขาคงไม่ยอมและต้องตามตื้อนางอย่างแน่นอน ดูจากการพูดคุยเขาคงอยากใช้ชีวิตเวียนว่ายตายเกิดอย่างที่ควรจะเป็น
“ข้าจำไม่ได้...แต่ร่างของข้าถูกฝังเอาไว้ที่ด้านหลังของโรงเตี๊ยม”
“ห๊า...เหตุใดจึงจำไม่ได้ ข้าเพิ่งรู้ว่าคนที่ตายไปแล้วจะความจำเสื่อมด้วยหรือ?” เหวินซีเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะนางก็นึกถึงพี่สาวชุดสาวแดงที่รายนั้นก็จำเรื่องราวของตนเองไม่ได้เช่นกัน
“ข้าเองก็ไม่รู้...” วิญญาณหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เช่นนั้นเจ้าช่วยทำตัวให้สะอาดหน่อยได้หรือไม่ ข้าจะได้เห็นว่าใบหน้าของเจ้าเป็นเช่นไร” เหวินซีเอ่ยบอก วิญญาณหนุ่มก็ไม่คิดต่อต้าน หมุนกายเพียงหนึ่งรอบร่างกายที่สกปรกดูไม่ได้ก็ดูดีขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดก่อนหน้านี้ก็สะอาดสะอ้านขึ้นมาทำให้เห็นใบหน้าชัดเจน
ชายตรงหน้าอายุราวยี่สิบสองปีรูปร่างผอมสูง ผิวเหลืองใบหน้าเรียวดวงตาสองชั้นแต่ไม่โตมาก จุดที่สังเกตได้ชัดเจนคือมีไฝตรงลำคอ เหวินซีมองประเมินอยู่เพียงครู่
“ข้าไม่ใช่คนที่นี่ ท่านอย่ามาคาดหวังสิ่งใดกับข้านัก ตัวข้าเองยังแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่เอาเป็นว่าข้าจะช่วยอย่างสุดกำลังของข้าก็แล้วกัน” เหวินซีเอ่ยนอบน้อมขึ้น บอกวิญญาณหนุ่มตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเขามีอายุมากกว่าและไม่มีท่าทีคุกคาม
“ข้าเข้าใจ เจ้าเองก็ยังเด็กมากนักข้าไม่ควรคาดหวัง”
“คิดได้เช่นนั้นก็ดี ท่านจะไปไหนก็ไปเถิดข้าจะล้างเนื้อล้างตัวแล้วพักผ่อนอีกสักหน่อย อ้อ...อีกอย่างเวลามาพบข้าท่านควรมาในสภาพที่ดีเช่นนี้ อย่ามาในสภาพก่อนหน้านี้เพราะข้าไม่ชอบมันสกปรก” เหวินซีเอ่ยบอก
“ได้”
เหวินซีมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าวิญญาณหนุ่มผู้นั้นออกจากห้องไปแล้ว มือเล็กควานหาของบางอย่างในย่ามของตน เหวินซีหยิบยันต์ของใต้ซือหลุนออกมา จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูแล้วนำยันต์ไปติดเอาไว้ด้านบน นางไม่อยากให้วิญญาณตนไหนมารบกวน โดยเฉพาะตอนที่นางจะชำระล้างร่างกายและเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่เป็นอันขาด
ช่วงเย็นของวัน อี้ปินก็กลับมายังโรงเตี๊ยมพร้อมกับเงินที่ได้มาอีกจำนวนไม่มาก เงินจำนวนนี้เขาไม่ได้หามาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง แต่มันได้มาจากการนำรถม้าและม้าไปขายต่อให้ชาวบ้านละแวกนี้
รถม้านั้นสภาพก็เก่ามากม้าก็ไม่ใช่ม้าพันธุ์ดีจึงขายได้ราคาเพียงสองตำลึงเงินเท่านั้น ที่อี้ปินตัดสินใจขายเพราะว่าลำพังตัวเขาและน้องสาวร่วมโลกยังต้องกินอยู่อย่างประหยัด คงไม่มีเงินมากพอมาเลี้ยงดูม้าอีกตัวหนึ่งหรอก
อี้ปินเจอเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมยังนั่งอยู่ที่เดิมมองดูรอบ ๆ ก็ยังวังเวงแถมยังมากกว่าตอนเช้าเสียอีก
“เถ้าแก่ข้าอยากสั่งอาหารจะได้หรือไม่” อี้ปินเอ่ยถามเพราะเขาไม่แน่ใจ เพราะเถ้าแก่อายุค่อนข้างมากแล้ว เมื่อตอนกลางวันเขายังต้องเป็นคนยกน้ำขึ้นไปด้านบนด้วยตนเอง เถ้าแก่อยู่คนเดียวไม่มีลูกจ้างช่วยเหลือสักคน
“ตอนนี้เย็นมากแล้ว ข้าไม่มีวัตถุดิบทำอาหารให้เจ้าหรอก” เถ้าแก่ร้านเอ่ย เมื่อก่อนถึงแม้ว่าโรงเตี๊ยมของตนจะเก่าแก่ไปสักหนักแต่ก็ยังมีคนมาเช่าอยู่บ้างพอให้มีรายได้เข้ามา แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นครานั้นผู้คนก็ร่ำลือกันปากต่อปาก ว่าโรงเตี๊ยมของตนนั้นมีวิญญาณร้ายคอยหลอกหลอนผู้คน แม้เขาเองจะไม่เคยเจอแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบเข้ามา
“อ้อ...เช่นนั้นข้าขอยืมครัวต้มยาให้น้องสาวของข้าได้หรือไม่”
“ได้ ๆ ส่วนอาหารข้ามีผักอยู่ไม่กี่อย่างเจ้าจะทำกินก็ได้ข้าไม่ว่า แล้วก็ไม่คิดตังเพิ่มด้วย” เถ้าแก่ร้านใจดีเอ่ย เขาจะต้องทำดีกับแขกที่เข้ามาพักในรอบหกเดือนนี้สักหน่อย ไม่รู้ว่าคืนนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้นอีกหรือไม่ แต่เขาก็ภาวนาขอให้ทั้งสองพี่น้องอย่าตกใจจนหัวใจหยุดเต้นไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นโรงเตี๊ยมของเขาคงจะได้ปิดตัวลงอย่างถาวรเป็นแน่
“ขอบคุณมากขอรับเถ้าแก่” เอ่ยจบอี้ปินก็เดินเข้าไปยังห้องครัวของโรงเตี๊ยมทันที อี้ปินออกจากห้องครัวมาท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเป็นมืดมิดไปแล้ว
