ท่านแม่ทัพช่วยข้าจับปีศาจด้วยเถิด...

101.0K · ยังไม่จบ
ไป๋หลัน
58
บท
3.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เทพธิดาสาวต้องกลับมาจุติยังโลกมนุษย์เพราะถูกปีศาจทำร้ายจนดวงจิตเกือบแตกสลาย นางต้องมาใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์พร้อมกับภารกิจที่องค์เง็กเซียนมอบหมายให้ "ท่านแม่ทัพช่วยข้าจับปีศาจด้วยเถิด" เทพธิดาเหวินซีไม่อาจทำภารกิจนี้สำเร็จหากไม่ได้ท่านแม่ทัพช่วยเหลือ

นิยายแฟนตาซีนิยายจีนโบราณ

บทที่ 1 จุดเริ่มต้นของปีศาจ

มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมายาวนานหลายสิบปีว่ามีปีศาจตนหนึ่งหลุดรอดออกมาจากที่ขุมขัง มันอาศัยช่วงเวลาที่มันมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้นและในช่วงนั้นองค์เง็กเซียนก็อยู่ในช่วงบำเพ็ญเพียรฟื้นพลัง ดินแดนที่ใช้กักขังปีศาจตนนั้นเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ได้ร่ายอาคมขึ้นมาโดยใช้พลังตบะครึ่งหนึ่งของพระองค์ นั่นหมายถึงพระองค์จะต้องทรงบำเพ็ญเพียรอีกหลายพันปีจึงจะกลับมามีพลังอันแกร่งอีกครั้ง

ปีศาจตนนั้นมีชื่อที่เรียกขานต่อกันมาว่า ‘ตงสิง’ มันก่อความเดือดร้อนรวมทั้งเข่นฆ่าผู้คนจนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะเหล่าสตรีแรกแย้ม เพราะมันกระหายพลังชีวิตของสตรีบริสุทธิ์ยิ่งนัก เพื่อต้องการให้พลังชีวิตของมันแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง

ชาวบ้านต่างพากันหวาดกลัวจึงรวมตัวกันมาขอความช่วยเหลือจากอารามต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้ พวกชาวบ้านต่างจุดธูปร้องขอไปยังเบื้องบนสรวงสวรรค์ เพื่อให้ท่านเง็กเซียนทรงช่วยเหลือพวกตนอีกครั้ง

ชาวบ้านพร้อมใจกันอ้อนวอนต่อองค์เง็กเซียนและเหมือนว่าคำร้องขอของชาวบ้านจะได้ผลดียิ่ง เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นานความสงบสุขก็กลับมาเยือนชาวเมืองอีกครั้งปีศาจตนนั้นคล้ายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีชาวบ้านตายเพราะปีศาจตงสิงอีกเลย ชาวเมืองจึงเชื่อกันว่าองค์เง็กเซียนได้กำจัดปีศาจตนนั้นไปแล้ว...

“แต่ข้าว่าปีศาจตนนั้นยังไม่ได้ถูกกำจัดแต่มันสิงอยู่ในร่างของเจ้าใช่หรือไม่ท่านแม่ทัพปีศาจ...” เสียงทุ้มติดขี้เล่นเอ่ยถามคนข้างกาย ขณะนั่งคุยกันอยู่หน้ากองไฟภายในเขตที่พักของทหาร

“แล้วแต่เจ้าจะคิด” เสียงเข้มติดเย็นชาหลายส่วนเอ่ยตอบ เขาคือแม่ทัพไป๋หย่งซานที่ชาวบ้านต่างขนานนามว่าแม่ทัพปีศาจ เพราะตอนอยู่ท่ามกลางสนามรบนั้นไป๋หย่งซานมักจะสวมหน้ากากเหล็กรูปปีศาจหน้าตาดุดันทุกครั้ง ผิดกับรูปลักษณ์อันแท้จริงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก แต่กระนั้นก็น้อยคนนักที่จะได้เห็นเพราะเขามักจะไว้หนวดเครารุงรังจนบดบังใบหน้าอันหล่อเหลาเสียจนสิ้น

“ข้าอุตส่าห์เล่าตำนานปีศาจตงสิงให้เจ้าฟังเผื่อว่าจะผ่อนคลายความเครียดลงบ้าง” เสียงติดขี้เล่นยังเอ่ย เขาคือจางจื่อชิว กุนซือหนุ่มคนสนิทและเป็นสหายคนสนิทของแม่ทัพปีศาจไป๋หย่งซาน

“จัดการกับแคว้นต้าหลี่สำเร็จเมื่อใดข้าจึงจักผ่อนคลายได้ ยามนี้ข้าไม่มีอารมณ์มานั่งฟังเจ้าเล่าเรื่องไร้สาระ” ไป๋หย่งซานเอ่ย

แคว้นต้าหลี่มีอาณาเขตติดต่อกับทางเหนือของแคว้นต้าถังซึ่งเป็นแคว้นที่เขาอาศัยอยู่ สามปีมานี้แคว้นต้าหลี่ผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เป็นคนไร้ซึ่งคุณธรรมและยังโลภมากคิดจะยึดดินแดนของแคว้นอื่นมาเป็นของตน

กองกำลังทหารของแคว้นต้าหลี่นับว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันจึงใช้โอกาสนี้รุกรานเขตชายแดนทางเหนือของแคว้นต้าถังเพื่อหวังยึดครองพื้นที่มาเป็นของตน เหมือนกับเมื่อสองปีก่อนที่แคว้นต้าหลี่ก็โจมตีแคว้นต้าจงยึดเมืองเล็กเมืองน้อยมาเป็นของแคว้นต้าหลี่ได้สำเร็จ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตนมาประจำยังเขตทางตอนเหนือของแคว้นเพื่อปราบทหารของแคว้นต้าหลี่ ตนจะไม่ยอมให้แคว้นต้าหลี่ได้กระทำดั่งที่ใจมุ่งหวังได้เป็นอันขาด

“เอาเถิดข้าจะวางแผนกลศึกครั้งนี้ให้รัดกุมที่สุดเจ้าเชื่อใจข้าได้” จางจื่อชิวเอ่ยบอกสหายให้คลายความกังวล

“ข้าเชื่อใจเจ้าเสมอ” ไป๋หย่งซานเอ่ยเสียงอ่อนลง เพราะเขารู้ว่าสหายผู้นี้เก่งกาจเพียงใดไม่เช่นนั้นพวกเขาทั้งสองคงไม่อาจมายืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงเช่นนี้ในวัยเพียงยี่สิบกว่าปีเป็นแน่

เบื้องล่างสองบุรุษนั่งสนทนากันถึงราวต่าง ๆ ทั่วไปโดยหารู้ไม่ว่าเรื่องราวบนสวรรค์ชั้นฟ้านั้นวุ่นวายมากเพียงใด กับเรื่องที่ทั้งสองพูดคุยกันว่าตำนานปีศาจตงสิงเป็นเรื่องไร้สาระ ความวุ่นวายที่ปีศาจตงสิงได้กระทำนั้นนับว่าสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับหลายฝ่ายบนสรวงสวรรค์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับเทพธิดาองค์หนึ่งที่มีนามว่าเหวินซี

ในวันที่ปีศาจตงสิงได้หลุดออกมาจากที่ขุมขังนั้นเป็นวันที่เทพธิดาเหวินซีอยู่ประจำการเฝ้าเวรยามพอดี ปีศาจตงสิงได้ทำร้ายเทพธิดาเหวินซีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสพลังชีวิตแทบจะแตกสลาย หนำซ้ำยังโดนไอปีศาจเข้าทำลายหัวใจถึงแม้ว่าเหล่าทวยเทพจะช่วยเหลือเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่อาจยื้อชีวิตเพราะไอปีศาจนั้นแข็งแกร่งมากมันยังคงหลงเหลือบางส่วนที่เกาะกินหัวใจของเทพธิดาเหวินซี

เทพธิดาเหวินซีเป็นที่รักของเหล่าทวยเทพด้วยความน่ารักสดใสของนาง ไม่เว้นแม้แต่องค์เง็กเซียนที่ดูท่าจะเอ็นดูเทพธิดาองค์นี้อยู่ไม่น้อย แต่หลังจากที่องค์เง็กเซียนเข้ากักตนบำเพ็ญเพียรมานานหลายพันปีก็ได้เวลาออกจากการกักตัว แต่กระนั้นก็สายเกินไปเพราะปีศาจตงสิงได้หลบหนีออกไปยังเบื้องล่างเป็นเวลาหลายวันแล้ว

ส่วนปีศาจตงสิงนั้นก็เหมือนรู้ความเมื่อองค์เง็กเซียนออกจากการกักตนบำเพ็ญเพียรมันก็ลบตัวตนไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านอีกเลย บนดินแดนแห่งสรวงสวรรค์นั้นเวลาต่างจากโลกมนุษย์มากนักเวลาบนแดนสวรรค์หนึ่งวันเท่ากับบนโลกมนุษย์ถึงสิบปี

หนึ่งวันบนสวรรค์นั้นย่อมต้องยาวนานกว่าโลกมนุษย์และไม่มีแบ่งแยกกลางวันกลางคืน บนสรวงสวรรค์นั้นมีแสงเจิดจรัสสว่างไสวตลอดเวลา แต่หากเทพองค์ใดต้องการนอนพักผ่อนเพียงแค่เก็บตัวอยู่ในห้องและนิมิตให้ห้องของตนเองมืดเท่านี้ก็มืดแล้ว

นับจากวันที่ปีศาจตงสิงหนีออกไปยังเบื้องล่างเวลาก็ล่วงเข้าวันที่ห้าแล้วและวันนี้องค์เง็กเซียนก็เรียกประชุมเหล่าทวยเทพทั้งหลายเพื่อหารือเกี่ยวกับการตามล่าปีศาจตงสิงกลับมาคุมขังอีกครั้ง การประชุมของเหล่าทวยเทพต้องกระชับรวดเร็วที่สุดเพราะขืนชักช้าปีศาจตนนั้นอาจก่อความเดือดร้อนขึ้นมาในโลกมนุษย์อีกเป็นได้

ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปโดยให้เทพอัคคีแฝงตัวลงมายังโลกมนุษย์ แต่กระนั้นด้วยกลิ่นอายแห่งทวยเทพย่อมลบกลิ่นอายไม่ได้จึงยากที่จะหาตัวของปีศาจตงสิงพบ หากมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเทพมันจะต้องหลบลี้หนีห่างอย่างแน่นอน องค์เง็กเซียนจึงออกความเห็นให้เทพธิดาเหวินซีลงไปจุติยังโลกมนุษย์

เทพธิดาเหวินซีโดนปีศาจตงสิงทำร้ายไอปีศาจเกาะกินจิตใจถึงแม้จะรักษาแต่ก็ไม่อาจกระทำได้ทั้งหมด ทางเดียวที่จะรักษาดวงจิตของนางเอาไว้ได้คือการนำดวงจิตของนางเอาไปใส่ยังร่างมนุษย์ที่สิ้นอายุขัยและชะตาของนางทั้งสองก็ต้องพ้องกัน ท่านเทพดวงชะตาก็จัดการค้นหาให้โดยทันที เพียงไม่นานก็พบเด็กสาวคนหนึ่งนอนสิ้นลมหายใจอยู่ข้างถนนดวงจิตของทั้งสองสามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี

ไม่รอช้าองค์เง็กเซียนจึงส่งดวงจิตของเหวินซีลงไปยังโลกมนุษย์ทันที องค์เง็กเซียนไม่อาจทำใจปล่อยเทพธิดาเหวินซีที่พระองค์ทรงเอ็นดูให้ตกระกำลำบากได้ จึงมอบพลังเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของตนใส่มายังร่างของเหวินซี อย่างน้อยพลังเศษเสี้ยวของพระองค์ก็ทรงมีอานุภาพไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…

และอีกอย่างบนโลกมนุษย์นั้นยังมีบางคนที่มีความสามารถขอเพียงเทพธิดาเหวินซีร่วมมือย่อมต้องมีหนทางกำจัดปีศาจร้ายได้อย่างแน่นอน

ณ โลกมนุษย์

เหวินซีลืมตาตื่นขึ้นมาช้า ๆ พลางกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับสายตาให้คงที่นางกวาดสายตาไปรอบด้านก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่แปลกตาและไม่คุ้นชินเป็นอย่างมากก็พลันให้เกิดความสงสัย แต่พอก้มมองร่างกายของตนเองก็ยิ่งทำให้ตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ร่างกายที่มีขนาดเล็กลงกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัดไม่เพียงเท่านั้นอาภรณ์ที่สวมใส่รวมทั้งเนื้อตัวก็ดูสกปรกมอมแมมจนนางไม่อาจทำใจยอมรับได้ ร่างของเหวินซีแต่เดิมนั้นงดงามไม่แพ้เทพธิดาองค์ใดท่วงท่ากิริยายามขยับเขยื้อนราวกับผีเสื้อเล่นลมดูงดงามยิ่ง แต่บัดนี้นางไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมาเลยจริง ๆ

เทพอัคคีปรากฏกายขึ้นตรงหน้าเหวินซีที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์และได้มาอาศัยอยู่ในร่างของเด็กสาวอายุเพียงสิบสามหนาว ไม่เพียงเท่านั้นนางยังอยู่ในสภาพที่น่าเวทนายิ่งจนเทพอัคคีเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ท่านเทพชะตาช่างชอบกลั่นแกล้งนางยิ่งนักร่างอื่นก็มีให้ลงมาจุติเหตุใดจึงเลือกเป็นเด็กคล้ายขอทานเช่นนี้กัน

“ท่านเทพอัคคีเหตุใดสภาพของข้าถึงได้น่าเกลียดเยี่ยงนี้เจ้าคะ” เหวินซีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนถึงแม้จะดีใจที่ได้พบเจอกับเทพอัคคีที่คุ้นเคยกันดี แต่ยามนี้สภาพอันย่ำแย่ของนางย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งนั้น

“เจ้าถูกปีศาจตงสิงทำร้ายไอปีศาจเกาะกินดวงจิตของเจ้าจนแทบดับสลายองค์เง็กเซียนจึงต้องนำดวงจิตของเจ้าลงมาจุติยังโลกมนุษย์ก่อนที่ดวงจิตของเจ้าจะดับสูญตลอดกาล” เทพอัคคีเอ่ยบอก

“ข้าลงมาจุติยังโลกมนุษย์เช่นนั้นหรือ?” เสียงของเหวินซีแผ่วเบาลงหลายส่วนด้วยกำลังใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ แต่ทบทวนดูดีแล้วก็พอให้ทำใจได้บ้างอย่างน้อยดวงจิตของนางก็ยังไม่ดับสูญ

“และเจ้ายังมีภาระหน้าที่ที่ต้องกระทำนั่นคือหาเบาะแสของปีศาจตงสิงให้พบ” เทพอัคคีเอ่ยบอกเหวินซีที่อยู่ในร่างของเด็กน้อยวัยสิบสามหนาว

“สภาพของข้าเป็นเช่นนี้แล้วจะไปตามหาปีศาจตงสิงได้อย่างไร เหาะเหินเดินอากาศหรือหายตัวแบบเมื่อก่อนยังทำไม่ได้เลย” เหวินซีเอ่ยถาม เมื่อก่อนนางมีพลังเทพสามารถกระทำได้ทุกอย่างที่ใจต้องการแล้วนางมาเกิดในร่างมนุษย์เช่นนี้พลังของนางก็คงไม่อาจติดตามมาได้อย่างแน่นอน

“เพียงตอนนี้เท่านั้น...ตอนนี้เจ้าอาจจะกระทำอย่างเมื่อก่อนไม่ได้ แต่องค์เง็กเซียนไม่ปล่อยให้เจ้าลำบากพระองค์จึงใส่เศษเสี้ยวพลังมาให้ อีกอย่างเจ้ายังต้องตามเบาะแสของหาปีศาจตงสิงย่อมต้องมีพลังติดตัวเอาไว้บ้าง” เทพอัคคีเอ่ยบอก

เหวินซีทำตาพองโตเมื่อได้ยินคำว่าเศษเสี้ยวพลังขององค์เง็กเซียนจึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงกว่าปกติ “ข้ายินดีรับใช้เจ้าค่ะท่านเทพ”