บท
ตั้งค่า

บทที่ 20 ฝึกท่องบทสวด

ผัดผักหนึ่งอย่างกับข้าวต้มสองถ้วยและยังมียาอีกหนึ่งถ้วย อี้ปินยกถาดอาหารมายังห้องพักด้านบน เขาสังเกตเห็นแผ่นยันต์สีเหลืองติดอยู่บนประตูทางเข้า สันหลังของเขาเย็นวาบขนกายตั้งชนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถึงแม้จะบอกว่าไม่ทราบสาเหตุก็คงจะดูโง่จนเกินไป ยันต์กันภูตผีติดเด่นหลาเสียขนาดนั้น และไม่บอกเขาก็รู้ว่าเป็นน้องสาวร่วมโลกของเขาที่นำมาแปะเอาไว้อย่างแน่นอน

ก๊อก ก๊อก...เสียงเคาะประตูดังขึ้น เหวินซีลืมตาตื่นขึ้นและเอ่ยบอกให้คนเข้ามาทันที

“เสี่ยวซีข้าเห็น...” อี้ปินเปิดประตูเข้ามาท่าทีร้อนรน เมื่อวางถาดอาหารก็รีบเอ่ย พร้อมกับชี้มือไปยังด้านหน้าประตู เหวินซีเข้าใจในความหมายที่พี่ชายจะสื่อในทันที

“เป็นอย่างที่ท่านคิด พี่ชายเข้าใจเลือกที่พักนักอยากมีเพื่อนก็ไม่บอก”

“ใครอยากจะมีเพื่อนแบบนั้นกัน ไม่ได้การแล้วข้าจะต้องหาที่อยู่ใหม่โดยเร็ว”

“ท่านทำใจเสียเถิด หากท่านยังอยู่กับข้าท่านก็หนีเรื่องแบบนี้ไม่พ้นหรอก มีทางเดียวคือท่านต้องไปจากข้าเสีย” เหวินซีเอ่ยบอกอย่างเห็นใจ หากพี่ชายร่วมโลกผู้นี้กลัวภูตผีวิญญาณ นางก็ไม่ควรรั้งให้เขาอยู่ข้างกาย แม้ว่าภายในใจจะอยากให้เขาอยู่กับนางมากมายก็ตาม

“ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้าไว้ผู้เดียวเด็ดขาด เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วเจ้ามากินข้าวเสียจะได้กินยา” อี้ปินเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง ถึงแม้ตนเองจะกลัวพวกเหล่าวิญญาณมากมาย แต่อย่างไรเขาก็ไม่ยอมทิ้งน้องสาวร่วมโลกไว้คนเดียวเด็ดขาด เขาได้เจอนางวันแรกดูก็รู้ว่านางอยู่ตัวคนเดียว เขารับรู้ถึงความรู้สึกนั้นว่ามันอ้างว้างเพียงใด ตั้งแต่วันนั้นเขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะดูแลเด็กน้อยผู้นี้เสมือนครอบครัวของตน

เหวินซีมองถาดอาหารก็พลันถอนหายใจ มองดูก็รู้ว่าอาหารตรงหน้าเป็นฝีมือของใคร นางอยู่กับเขามาตั้งหลายเดือนอาหารหน้าตาถอดแบบกันมาในทุก ๆ วันแบบนี้จำไม่ผิดอย่างแน่นอน

เหวินซีกลั้นใจกินอาหารไปสองสามคำเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ จากนั้นนางก็เนรมิตผลไม้เซียนหลายอย่างออกมา ความสามารถในตอนนี้คือเนรมิตผลไม้ได้เพียงอย่างเดียว เหวินซีลองนึกถึงอาหารที่เคยกินยามอยู่บนสรวงสวรรค์และลองเอามันออกมา แต่ก็ไม่เป็นผลหรือแม้แต่อาภรณ์ก็ไม่สามารถรังสรรค์ออกมาได้ ยามนี้พลังเทพของนางที่เห็นผลที่สุดก็เห็นจะเป็นด้านพละกำลังเสียมากกว่า

“ท่านหมอบอกว่าเจ้าควรกินอาหารที่หลากหลาย” อี้ปินเอ่ยบอก ตั้งแต่เทพธิดาตัวน้อยนี้สามารถนิมิตผลไม้ออกมาได้ ก็เอาแต่กินผลไม้อย่างเดียว ตัวของนางที่ผอมแห้งนั้นก็ยังไม่มีทีท่าจะมีเนื้อหนังเพิ่มพูนขึ้นมาสักนิดเดียว

“ข้าไม่ชอบอาหารบนโลกมนุษย์” เหวินซีเอ่ยบอกเพียงเท่านั้น อี้ปินก็เข้าใจว่าอาหารบนสรวงสวรรค์นั้นคงจะเลิศรสมากนักจนเทพธิดาน้อยผู้นี้ไม่ถูกปากกับรสชาติอาหารของมนุษย์เสียแล้ว

“พรุ่งนี้ข้าจะซื้อหมั่นโถวมีไส้มาให้เจ้ากิน” อี้ปินเอ่ย เห็นมีเพียงอย่างเดียวที่นางกินและบอกอร่อยนั่นก็คือหมั่นโถว เหวินซีพยักหน้ารับ อาหารบนโลกมนุษย์ที่นางเคยกินเห็นจะมีเพียงหมั่นโถวเท่านั้นที่อร่อย อาหารที่อี้ปินทำให้กินล้วนแต่รสชาติพิลึกจนนางกินไม่ลง ไม่รู้ว่ามนุษย์เหล่านั้นกินกันไปได้อย่างไร

เหวินซีที่เข้าใจว่ารสชาติอาหารที่อี้ปินทำให้กินนั้นคือรสชาติของคนทั่วไปกินกัน นางจึงไม่คิดที่อยากจะกินอาหารใด ๆ อีกเลย

หลังจากกินอาหารเสร็จอี้ปินก็อาบน้ำและล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างไม่สะทกสะท้านที่พื้นห้องเย็นเยียบ เพียงไม่นานเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอก็ดังลอดออกมาบ่งบอกว่าพี่ชายร่วมโลกผู้นี้ได้หลับสนิทแล้ว

เหวินซีที่นอนไม่หลับเพราะพักผ่อนมาทั้งวันแล้ว จึงหยิบย่ามใบเก่าออกมา ตำราเล่มหนาที่ใต้ซือมอบให้เหวินซีค่อย ๆ เปิดมันดูทีละหน้าอย่างสนใจ หน้าแรก ๆ ของตำราจะเป็นหลักธรรมคำสอนซึ่งทั้งหมดนี้เหวินซีต่างรู้ดี เพราะเหล่าเทพบนสรวงสวรรค์นั้นล้วนแต่ประพฤติตนดีงาม จิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีจิตใจริษยาผู้อื่นจิตใจมีแต่ด้านขาวสะอาด ไม่เช่นนั้นไม่สามารถเป็นเทพอยู่บนสรวงสวรรค์ได้ เพราะฉะนั้นการที่เหวินซีได้ลงมายังโลกมนุษย์แห่งนี้ อาจจะเป็นเรื่องยากที่ต้องเรียนรู้ นางรับรู้ว่าจิตใจของมนุษย์นั้นมีด้านดำ ด้านขาวและด้านเทา ความคิดลึกลับซับซ้อนไม่อาจเชื่อถือได้มากนัก

ตอนนี้เหวินซีกำลังเรียนรู้การดำรงชีวิตจากพี่ชายร่วมโลกแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้อะไรมากนัก พี่ชายผู้นี้ห่วงนางเกินไป จากตอนแรกที่จะสอนนางกลับกลายเป็นว่านางจะหยิบจะจับสิ่งใดเขาก็ห้ามไปเสียหมด ทุกวันนี้เหวินซียังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง นางเคยสังเกตมนุษย์ยามที่ไปเดินตลาดแต่ละคนมีชีวิตที่แตกต่างกัน คนมีเงินมักจะแต่งตัวหรูหราไม่ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับคนที่ไม่มีเงินคนพวกนั้นมีชีวิตที่ลำบากสีหน้าดูอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา

“โลกมนุษย์สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเงินสินะ” เหวินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางอยู่บนสรวงสวรรค์ไม่เคยต้องใช้เงินเพียงอยากได้อะไรก็นึกถึงสิ่งนั้นแล้วมันก็ปรากฏออกมาอย่างง่ายดายชีวิตช่างสุขสบายอย่างเหลือล้น

จากนั้นก็พลิกหน้าตำราไปเรื่อย ๆ จนถึงบทสวดส่งวิญญาณที่ใต้ซือหลุนเคยบอก บทสวดนี้ไม่ยาวมากหากท่องจำบ่อย ๆ ก็ไม่ยากเกินที่จะจดจำได้ เหวินซีค่อย ๆ จดจำตัวอักษรอย่างตั้งใจทีละแถวจากนั้นก็ปิดตำราแล้วนึกทบทวนบทสวดนั้นโดยไม่ดูตำรา

เหวินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ตนเองสามารถจดมันได้ทั้งหมดอย่างไม่มีสะดุดเลยแม้แต่น้อย สมองของนางจดจำได้ดีเช่นนี้เชียวหรือ? นางไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย…

มือเล็กล้วงหยิบลูกแก้วส่งวิญญาณอันเล็กจิ๋วที่ถูกถักทอเข้ากับเชือกสีดำสวยงาม มันสามารถสวมใส่คล้องคอได้ เหวินซีไม่รีรอสวมมันเข้าไป เพราะสิ่งที่ใต้ซือหลุนมอบให้นั้นมันย่อมเป็นของดีมีค่า

ตอนนี้ของเหวินซีมีทั้งสร้อยหินหยกนิลและลูกแก้วส่งวิญญาณคล้องอยู่ที่ลำคอ เหวินซีคิดว่ามันดูไม่งดงามเท่าไรนัก แต่ตอนนี้นางยังเป็นเด็กอายุเพียงสิบสามหนาวเท่านั้นสวมใส่แบบนี้ย่อมไม่เป็นที่ดึงดูดสายตา หากกาลข้างหน้านางสามารถหาเงินได้มากสักหน่อยค่อยนำของเหล่านี้ไปรวมเข้ากับเครื่องประดับชื้นอื่นน่าจะดูดีไม่น้อย

แสงสีขาวนวลที่ส่องประกายภายในลูกแก้วยามที่ขยับมันดูระยิบระยับสวยงาม เหวินซีก้มมองพลางลูบไล้อย่างแผ่วเบา นางจะต้องตามหาเจ้าปีศาจตัวทมิฬนั่นและล้างแค้นแทนใต้ซือให้จงได้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่เทพธิดาเหวินซีมีความคิดเช่นนี้ หรืออาจเป็นความโกรธความเสียใจที่หล่อหลอมนางก็เป็นได้

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอนอี้ปินก็อาสาไปยกน้ำมาให้เพื่อล้างหน้าล้างตา ส่วนอาภรณ์ชุดใหม่นั้นเหวินซีมีผ้าเนื้อหยาบที่อี้ปินซื้อให้คราก่อนอยู่สองชุดและมันก็ถูกใส่บ่อยครั้งจนสีเริ่มซีดแล้ว ร่างเล็กแต่งกายคล้ายบุรุษจนชินและนางคิดว่ามันก็สะดวกดีไม่น้อย ถึงแม้ว่าสตรีย่อมต้องรักสวยรักงามแต่ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาและเงินในถุงผ้าก็ยังไม่เพียงพอต่อการซื้ออาภรณ์งดงามทั้งหลาย

เหวินซีเดินไปดึงยันต์ออกจากด้านบนของประตู ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างสูงของบุรุษและร่างระหงของสตรีตรงหน้าเหวินซีอย่างไม่มีปี่มี่ขลุ่ย ด้วยระยะประชิดตัวทั้งสองร่างต่างกระเด็นออกไปคนละทิศทางอย่างรวดเร็ว

“โอ๊ะ...”

“โอ๊ย...เด็กน้อยเหตุใดทำร้ายพี่สาว” เหมยลี่ที่ตามหาเด็กน้อยเมื่อรับรู้ว่านางอยู่ที่นี่ก็รีบมาหาตั้งแต่เมื่อคืน แต่กลับเข้าไปด้านในไม่ได้เพราะมียันต์แปะกันเอาไว้ ทำให้นางต้องเฝ้ารออยู่ด้านหน้าจนเช้า พร้อมกับเจ้าวิญญาณหน้าจืดผู้นี้อีกตน

“พวกท่าน...ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย” เหวินซีเอ่ยบอกหน้าตาใสซื่อ แต่มือเล็กลูบคลำลูกแก้วอย่างแผ่วเบา พวกวิญญาณทั้งหลายไม่อาจเข้าใกล้หรือสัมผัสตัวนางได้ เหวินซีเผยรอยยิ้มออกมา เพราะยามที่นางออกไปด้านนอกก็ไม่ต้องระวังว่าจะมีวิญญาณตนไหนเดินชนและรบกวนนางได้อีก

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” อี้ปินเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเขาได้ยินเสียงเหมือนมีบางสิ่งตกลงบนพื้นเสียงตุ๊บ...ไม่เพียงแค่อี้ปินเท่านั้นที่ได้ยิน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเองก็ได้ยินเช่นกัน แต่เขาไม่ขึ้นมาดูกลับนั่งตัวสั่นเทาอยู่ตรงนั้นด้วยความหวาดกลัว

เหวินซีไม่รู้จะเอ่ยบอกกล่าวเช่นไรดี จึงเดินมาใกล้กับอี้ปินมือเล็กยื่นไปจับมือใหญ่ แล้วส่งพลังจิตของตนเองไปยังอีกฝ่าย วิธีนี้เหวินซีไม่แน่ใจว่าพี่ชายร่วมโลกจะสามารถมองเห็นวิญญาณได้หรือไม่แต่นางก็จะลองดู

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel