บท
ตั้งค่า

บทที่ 18 ฝันร้าย

ตอนที่สิบแปด

เมื่อทั้งสองถึงต้นไม้ใหญ่ใต้ซือหลุนก็ร่ายเวทย์มนต์อำพลางทั้งสองคนเอาไว้ เพื่อป้องกันภัยร้ายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกที สายลมอันบ้าคลั่งพัดกลุ่มควันสีดำขนาดใหญ่ลอยมาเบื้องหน้าของใต้ซือหลุน มันแปรเปลี่ยนรูปร่างจากกลุ่มก้อนสีดำกลายเป็นสัตว์ประหลาดคล้ายสุนัขที่มีลำตัวขนาดใหญ่สูงเกือบห้าเท่าของใต้ซือ ไม่เพียงเท่านั้นหัวของมันยังมีถึงสองหัวด้วยกัน มันส่งเสียงร้องคำรามเพื่อข่มขวัญ

“โฮก....โฮก...”

เหวินซีและอี้ปินที่มองเห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้าพลางรู้สึกเป็นห่วงใต้ซือหลุน เหวินซีคิดว่าเจ้าตัวประหลาดนี้มันไม่ธรรมดาอย่างที่เคยพบเจอมา

ใต้ซือหลุนลุกขึ้นจากที่นั่งปากก็พร่ำสวดคาถาอย่างไม่ลดละ ดูเหมือนบทสวดนั้นจะได้ผลอยู่ไม่น้อยเพราะปีศาจสุนัขมันส่งเสียงร้องคำรามออกมาไม่หยุด แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเจ้าปีศาจมันอ้าปากพร้อมกับส่งแสงสีแดงออกไปยังใต้ซือ

พลังของแสงสีแดงนั้นค่อนข้างรุนแรงไม่น้อย เมื่อมันถูกส่งออกมาทุกอย่างมันช่างรวดเร็วยิ่ง ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่ ต้นไม้ใบหญ้าต่างถูกเผาวอดไหม้จนเหลือแต่ตอในเวลาชั่วพริบตา

“ใต้ซือ!...”สองเสียงประสานกันของเหวินซีและอี้ปินแต่ภายนอกไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของทั้งสองคนนั้น

ใต้ซือหลุนแม้จะกระโดดหลบได้ทันแต่ด้วยความรุนแรงก็ทำให้ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจนกระอักเลือดออกมาคำโต เพราะได้รับบาดเจ็บเจ็บภายในร่างกาย ใต้ซือหลุนพยุงตัวขึ้นมือหยิบสร้อยประคำจากนั้นก็ร่ายคาถา เมื่อเห็นว่าปีศาจตรงหน้ามีพลังกล้าแกร่งเกินไปจึงตัดสินใจโยนสร้อยประคำนั้นออกไปยังปีศาจร้าย

สร้อยประคำอันศักดิ์สิทธิ์คล้องลงบนคอของปีศาจสุนัขมันกรีดร้องคำรามพร้อมยกขาหน้าขึ้นตะเกียกตะกายอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานเจ้าหัวสุนัขมันก็สลายหายไปหนึ่งหัว แต่มันเหลืออีกหนึ่ง... ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวเจ้าปีศาจร้ายมันพุ่งตัวเพียงครั้งเดียวก็ถึงร่างของใต้ซือหลุน

ปีศาจสุนัขขณะนี้มันยืนค่อมร่างของใต้ซือหลุนเอาไว้ เท้าข้างหนึ่งของมันเหยียบลงบนร่างของใต้ซือหลุนจนทำให้กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

ปีศาจร้ายเหมือนได้ใจมันแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วกู่ร้องคำรามดังลั่น พร้อมกับแสงแปลบปลาบของสายฟ้าที่พาดผ่านกลุ่มเมฆสีดำ ปากใหญ่ที่มีเขี้ยวอันแหลมคมงับร่างของใต้ซือหลุนขึ้นมา มันสะบัดซ้ายสะบัดขวาตามสัญชาตญาณ

“ใต้ซือ!!...ฮือ ๆ ๆ” เหวินซีเอามือทุบกำแพงเวทย์ที่ใต้ซือหลุนร่ายเอาไว้ พร้อมร้องไห้ออกมาเสียงดังเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า อี้ปินเองยามนี้น้ำตานองอาบเต็มสองแก้มอย่างไม่อาจสะกดกลั้นเอาไว้เช่นกัน ภายในใจก็ได้แต่ภาวนาให้ใต้ซือหลุนปลอดภัย อี้ปินยังแอบหวังลึก ๆ ว่าความดีที่ใต้ซือได้กระทำมาทั้งหมดนั้น จะส่งผลให้ท่านปลอดภัยชนะหมู่มารทั้งปวงได้

ใต้ซือหลุนล้วงหยิบกริชเงินออกมาจากแขนเสื้อที่ซุกซ่อนเอาไว้ กริชคมกรีดลึกลงบนฝ่ามือจนเลือดไหลอาบแล้วใช้มือที่มีเลือดอยู่นั้นจับกริชเงินจนเลือดสีแดงสดไหลอาบลงบนกริชจนเป็นสีแดงทั่วทั้งเล่ม ไม่รอช้าใต้ซือหลุนรวบรวมสมาธิให้เป็นหนึ่ง แม้ยามนี้ร่างของตนจะถูกเหวี่ยงอย่างรุนแรงก็ตาม

เสียงสวดงึมงำเป็นภาษาที่ยากเข้าใจ แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลัง ใต้ซือหลุนอาศัยช่วงจังหวะหนึ่งปักกริชลงบนปลายจมูกของเจ้าปีศาจสุนัข มันร้องด้วยความเจ็บปวดจนต้องคลายร่างของใต้ซือหลุนออก แต่ใต้ซือไม่ได้ร่วงหล่นลงมาเบื้องล่างแต่อย่างใด ท่านยังคงจับกริชที่ปักบนจมูกปีศาจสุนัขแน่น ปากก็ยังสวดคาถาบทหนึ่งอย่างตั้งใจ

แสงสีทองสว่างวาบจนเหวินซีและอี้ปินต้องหลับตาเพราะทนกับแสงสว่างเบื้องหน้าไม่ได้ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาภาพเบื้องหน้าก็ว่างเปล่าไม่มีทั้งเจ้าปีศาจร้ายและท่านใต้ซือหลุน ทั้งสองขยับตัวออกมาจากต้นไม้ใหญ่ได้สำเร็จเพราะเวทย์ของท่านใต้ซือได้คลายลงไปแล้ว

“ใต้ซือเจ้าคะ...ท่านใต้ซือ...ท่านออกมาเถิด” เหวินซีวิ่งไปยังบริเวณที่เกิดการต่อสู้เมื่อครู่ ปากเล็กร้องตะโกนออกมาสุดเสียง เผื่อว่าท่านใต้ซือบาดเจ็บอยู่ไม่ไกลท่านคงได้ยินเสียง เท้าเล็ก ๆ ก็วิ่งวุ่นไปทั่ว อี้ปินเองก็ทำเช่นเดียวกันทั้งสองร้องเรียกใต้ซือหลุนอยู่พักใหญ่ จนตอนนี้สายฝนได้โปรยลงมาจากเบื้องบนคล้ายชโลมจิตใจคนเบื้องล่างให้เย็นลง

ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งบนพื้นดินร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น แข่งกับเสียงสายฝนที่กระทบกับผืนดินและผืนป่า อี้ปินนั่งลงด้านข้างแขนแกร่งโอบบ่าเล็กเพื่อเป็นการปลอบใจโดยไร้การเอื้อนเอ่ยใด ๆ เพราะเขาเองยามนี้ก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้เช่นกัน

อี้ปินเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าพร้อมก่นด่าสวรรค์อยู่ในใจ เหตุใดคนดีมีเมตตาอย่างใต้ซือหลุนต้องพบจุดจบแบบนี้ด้วย แล้วเช่นนี้จะให้ตนเชื่อได้อย่างไรกันว่าทำดีย่อมได้ดีสวรรค์จะคุ้มครอง มันไม่จริงเลยสักนิดเดียว…

เช้าวันรุ่งขึ้นร่างเล็กนอนหลับใหลไม่ได้สติเนื่องจากตากฝนเมื่อคืนจนไข้ขึ้น อี้ปินจึงรีบเร่งควบม้ามุ่งเข้าเมืองด้วยความรวดเร็วเพราะจะได้พาร่างเล็กส่งโรงหมอ อี้ปินกลัวว่าเด็กน้อยจะป่วยไข้จนไร้ลมหายใจไปอีกคน เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ดวงตาคมที่ฉายแววเหนื่อยล้าพลันมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอเต็มหน่วย

อี้ปินเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้หยดน้ำตาได้ไหลลงมา พลางสูดลมหายใจเข้าปอดแรง ๆ ทีหนึ่ง เขาจะต้องเข้มแรงเพื่อที่จะได้ดูแลเทพธิดาน้อยให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ได้อย่างมีความสุข อย่างที่ใต้ซือหลุนปราถนาเอาไว้ก่อนที่จะจากไป

ทั้งสองผ่านเข้าเมืองมาได้โดยมีใบยืนยันตัวตนที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ก่อนออกจากอารามเส้าหมิง อี้ปินยังมีเงินติดตัวอยู่บ้างจึงรีบควบรถม้าไปยังโรงหมอที่ตนหยุดถามชาวบ้านทันที

“ท่านหมอน้องสาวของข้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” อี้ปินเอ่ยถามเมื่อท่านหมอตรวจเสร็จแล้ว

“ร่างกายของนางอ่อนแออยู่ก่อนหน้าจึงป่วยไข้ได้ง่าย เด็กสาวผู้นี้ควรได้รับการบำรุงจึงจะมีร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย” ท่านหมอวัยชราเอ่ยบอกชายหนุ่มตรงหน้า พลางส่ายหัวเล็กน้อย เขามองดูการแต่งกายของทั้งสองคนก็พอเข้าใจได้ง่ายจึงอดเวทนาไม่ได้

“ข้าจะจัดยาแก้ไข้และยาบำรุงอีกนิดหน่อยประเดี๋ยวนางก็ดีขึ้น” หมอชราเอ่ยต่อ

“ขอบคุณขอรับท่านหมอ เอ่อ...รบกวนท่านหมอข้าขอถามว่าแถวนี้มีโรงเตี๊ยมที่ราคาไม่แพงบ้างหรือไม่ขอรับ” อี้ปินเอ่ยถาม

“เจ้าไม่ใช่คนเมืองเหิงฟู่หรอกหรือ?”

“ข้ามาจากเมืองหนานไห่ขอรับ” อี้ปินเอ่ยเพียงเท่านั้น

“ก็พอมีอยู่บ้าง เจ้าขับรถม้าตรงไปท้ายสุดตลาด ที่นั่นยังพอมีโรงเตี๊ยมเก่าแก่ถึงจะทรุดโทรมไปบ้างแต่ราคาก็ไม่แพง” ท่านหมอเอ่ยบอกแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกไปทั้งหมดว่าโรงเตี๊ยมแห่งนั้นมันมีคำร่ำลืออย่างไรบ้าง

“ขอบคุณขอรับท่านหมอ ส่วนค่ารักษาเท่าไรขอรับ”

“ค่าคิดเพียงยี่สิบอีแปะ” ท่านหมอชราเอ่ย ปกติแล้วค่ารักษาย่อมแพงกว่านั้นแต่หมอชรากลับเห็นใจสองพี่น้องจึงคิดเพียงค่ายาเล็กน้อยค่ารักษาเขาไม่ได้คิด

“ขอบคุณขอรับ” อี้ปินเอ่ยขอบคุณและไม่ได้ถามว่าเหตุใดค่ารักษาถึงได้ราคาถูกมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าท่านหมอจะเปลี่ยนใจคิดราคาเพิ่ม

ตอนนี้เหวินซียังไม่ได้สติอี้ปินควบม้ามายังโรงเตี๊ยมที่หมอชราบอก และเมื่อสอบถามราคาก็ถูกอย่างที่ท่านหมอกล่าวเอาไว้จริง ๆ แต่ถึงจะถูกอี้ปินก็ต้องประหยัดเงินให้มากที่สุด ทั้งสองจึงเช่าแค่หนึ่งห้องจำนวนสิบคืนเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมคิดราคาห้าสิบอีแปะโดยไม่รวมค่าอาหาร

โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีสองชั้นค่อนข้างเก่า คงปลูกสร้างมาแล้วไม่ต่ำกว่าสามสิบปี และที่สังเกตภายในที่มีอยู่ไม่กี่ห้องนั้นก็ไม่มีคนมาเช่าอยู่เลยแม้แต่ห้องเดียว

มันวังเวงอย่างไรพิกล…

“เสี่ยวซีเจ้าฟื้นขึ้นมาสักทีสิข้าชักจะกลัวแล้วนะ” อี้ปินเอ่ยพูดกับร่างเล็กที่นอนยังไม่ได้สติยู่บนเตียง

ในห้วงของความฝันเด็กน้อยน่าตาจิ้มลิ้มผิวราวขาวกระเบื้องเคลือบวัยประมาณห้าหนาวกำลังนั่งเล่นอยู่ริมสระน้ำ เด็กน้อยกำลังชื่นชมกับความงดงามของดอกเหลียนฮวาที่แข่งกันชูช่อ มือน้อย ๆ เอื้อมหวังจะเด็ดดอกไม้เอามาเชยชม แต่แล้วจู่ ๆ ก็เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาผลักเด็กน้อยตกน้ำ จากนั้นทุกอย่างดูมืดมนไปหมด

ภาพทุกอย่างกลับมาแจ่มชัดขึ้นอีกครั้งเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มขึ้นมาจากน้ำได้อย่างปลอดภัย แต่ดูเหมือนว่ามีสตรีอีกคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ที่ริมสระบัว

‘ฮึก...ฮือ...ท่านแม่ ท่านแม่ฟื้นขึ้นมาสิเจ้าคะอย่าทิ้งหรงเอ๋อร์ไปนะเจ้าคะฮือ ๆ’

‘เจ้ามันตัวซวยจริง ๆ ตั้งแต่เกิดมาก็ทำให้แม่ของเจ้าร่างกายอ่อนแอมาตลอด และครานี้นางต้องมาตายก็เพราะเจ้า’

เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนเอ่ยตวาดเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงดุดัน แววตาฉายชัดถึงความโมโหอย่างไร้ความสงสาร

‘เอานางไปขังเอาไว้ที่เรือนเล็กหลังเก่าข้ายังไม่อยากเห็นหน้านางตอนนี้ และต่อไปนี้ให้คนเอาอาหารไปส่งที่นั่นไม่ต้องให้นางมาเดินเผ่นพล่านที่เรือนใหญ่ให้ข้าเห็นหน้าอีก’

‘ไม่นะท่านพ่อ...ข้ากลัว...ไม่...ท่านแม่ฟื้นสิ ท่านแม่ฮือ ๆ’

“ไม่ ๆ ท่านแม่อย่าทิ้งข้าไป” เหวินซีละเมอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ อี้ปินที่นั่งอยู่ด้านข้างเมื่อมองใบหน้าเล็กนั้นก็ต้องตกใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel