บท
ตั้งค่า

บทที่ 17 เกิดเหตุร้ายกลางดึก

ใต้ซือหลุนที่ได้ยินก็มองสำรวจทันทีโดยการเปิดดวงตาที่สามเพื่อมองเห็นสิ่งลี้ลับ วิญญาณสาวไม่คิดปิดบังหรือหลบหนีจากสายตาของใต้ซือผู้นี้ เพราะนางไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้ใด ตั้งแต่นางตายนางเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าเหตุใดถึงยังไม่มีใครมารับดวงวิญญาณไป นางจึงต้องวนเวียนเป็นวิญญาณเร่ร่อนไม่มีจุดมุ่งหมายอย่างนี้ และที่นางต้องเร่ร่อนไม่มีจุดหมายก็คือนางเป็นผีความจำเสื่อมที่จำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่ชื่อของตนเอง

“เจ้าอย่ากลัวนางเลยนางไม่ทำร้ายผู้ใดหรอก” ใต้ซือเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ปิดผ้าม่านลงแล้วกลับไปนั่งด้านในเหมือนเดิม

“ท่านอาจารย์พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ ท่านจะให้ภูตผีติดตามเราไปด้วยเช่นนั้นหรือ?” อี้ปินเอ่ยถามเสียงดัง แต่ดูเหมือนว่าคนด้านในจะไม่เอ่ยตอบสิ่งใดกลับมามีแต่ความเงียบเท่านั้น เหวินซีหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นท่าทางตื่นกลัวของพี่ชายผู้นี้ นางจะต้องฝึกให้เขาคุ้นชินกับสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นเสียแล้ว อีกหน่อยทำการใหญ่ใจจะได้นิ่งเหมือนหินผา

“มองก็ไม่เห็นแล้วจะกลัวไปใย ออกเดินทางต่อได้แล้ว” เหวินซีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ชิ เมื่อก่อนเจ้าก็กลัวเช่นกัน” อี้ปินเอ่ยบ่นอุบอิบแต่เหวินซีก็ได้ยินชัดเจน

“เมื่อก่อนข้ากลัวก็จริงแต่ตอนนี้ข้าก็พัฒนาตนเองแล้ว ท่านก็หัดพัฒนาตนเองเสียบ้าง เผื่อวันข้างหน้าท่านจะได้ไม่ตื่นตกใจจนหัวใจวายตายไปเสียก่อน”

“ข้ารู้แล้วน่า...” อี้ปินเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ควบม้าต่อไปโดยที่เขาก็ยังตัวเกร็ง ๆ อยู่ไม่น้อย หากไม่รู้ก็ไม่ต้องเกร็งเช่นนี้มันน่านัก

วิญญาณสาวหันไปส่งยิ้มให้กับเหวินซีอย่างเป็นมิตร ส่วนเหวินซีรู้ว่าวิญญาณสาวตนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย นางสัมผัสได้และยิ่งเห็นว่าใต้ซือหลุนยังไม่เอ่ยปากสิ่งใดนั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่านางคิดถูกต้อง

ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มหมดแสงลงแล้วอี้ปินหาที่พักตามแนวชายป่า เมื่อได้ที่เหมาะสำหรับการพักแรมแล้วก็จัดการกางกระโจมที่พักสำหรับใต้ซือหลุน อี้ปินเลือกตรงบริเวณต้นไม้ใหญ่สำหรับกางกระโจม ส่วนเหวินซีนั้นอี้ปินให้นอนบนรถม้า ส่วนตัวของเขานอนด้านหน้ากระโจมของใต้ซือหลุน

เรื่องอาหารการกินสำหรับใต้ซือหลุนท่านไม่กินอาหารในตอนเย็นท่านดื่มน้ำชาเพียงเท่านั้น ส่วนอี้ปินและเหวินซีทั้งสองกินผลไม้ที่นำติดตัวมาด้วย พลังของเหวินซีพอที่จะเนรมิตรผลไม้เซียนออกมาได้ แต่ที่กระทำไม่ได้ในตอนนี้คือท่านใต้ซือสั่งห้ามเอาไว้ ท่านกล่าวว่านางมาอยู่ยังโลกมนุษย์ก็สมควรที่จะใช้ชีวิตในแบบที่มนุษย์เป็น ไม่ควรใช้พลังในทางที่ไม่จำเป็น แม้ว่านางจะรับปากกับใต้ซือหลุนอย่างหนักแน่นแต่ในใจก็ยังแอบคิดว่าอาหารการกินนั้นก็ถือเป็นเรื่องสำคัญต่อการดำรงชีวิตบนโลกมนุษย์อยู่ดี

แต่เอาเถิดนางจะพยายามไม่ใช้พลังที่ขัดต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ก็แล้วกันถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อ่ะนะ

“พี่สาวท่านติดตามพวกข้ามาทำไมหรือ?” เหวินซีเอ่ยถามเมื่อวิญญาณสาวปรากฏตัวอีกครั้งบนรถม้าที่เหวินซีอาศัยหลับนอน

“ข้าไม่มีที่ไป ข้าร่อนเร่มานานหลายเดือนแล้วและก็พยายามสืบหาตัวตนของข้าแต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ครั้นจะไปขอให้ผู้ใดช่วยเหลือก็จนปัญญาเพราะข้าไม่สามารถสื่อสารกับผู้ใดได้”

“แล้วท่านตามข้ามาต้องการอะไรหรือ?”

“ข้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครมาจากไหนแต่ที่แน่ ๆ ข้าไม่น่าจะมาจากเมืองไห่หนานเป็นแน่ ข้าจึงติดตามเจ้ามาเผื่อว่าโชคดีพบเจอครอบครัวของข้าบ้าง”

“ท่านอยากให้ข้าช่วยก็บอกมาตามตรงไม่ต้องพูดจาอ้อมค้อมให้มากความ”

“เจ้านี่ก็ฉลาดไม่เบาเลยข้าคิดไม่ผิดที่ติดตามเจ้ามา” วิญญาณสาวเอ่ยพร้อมยกยิ้มหวาน

“ไม่ต้องมาเอ่ยชมข้าข้าไม่ใช่คนหลงในคำยอ ว่าแต่ท่านมีนามว่าอะไร?”

“ข้าไม่รู้ ข้าจำอันไม่ได้เลยแม้แต่ชื่อของตัวเอง”

“เฮ้อ...เอาเป็นว่าท่านอยากได้ชื่ออะไรก็เลือกมาสักชื่อหนึ่งก็แล้วกัน” เหวินซีถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา นางเห็นใจวิญญาณสาวผู้นี้ยิ่งนัก ตัวเองตายไม่พอยังสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดอีก

“เรียกข้าว่าเหมยลี่ก็แล้วกัน”

“ตกลงพี่เหมยลี่”

หลังจากที่ใต้ซือหลุนและลูกศิษย์เดินทางออกจากอารามเส้าหมิงไปได้เพียงสามคืนก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เกิดเหตุไฟไหม้อารามเส้าหมิงอาคารทุกหลังล้วนถูกเผาวอด ไม่เว้นแม้แต่หอฝึกสมาธิหอตำราทุกอย่างถูกเผาวอดไปกับเพลิงไฟที่ลุกโชน

ใต้ซือและลูกศิษย์ไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในอารามล้วนถูกไฟคอกตายไม่อาจหนีรอดออกมาได้สักคนเดียว เรื่องนี้สร้างความแตกตื่นตกใจแก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก หลายคนเชื่อว่าเมื่อท่านใต้ซือหลุนจากไป จึงไม่มีผู้ใดปกปักรักษาอารามเอาไว้ได้

บ้างก็พูดว่ามีวิญญาณร้ายกำลังท้าทายบารมีของใต้ซือหลุนจึงก่อโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ แต่ว่าเป็นวิญญาณตนใดกันเพราะในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนสงบสุขมานานจะมีก็แต่วิญญาณกระจอก ๆ เพียงเท่านั้น

คืนที่หกสำหรับการเดินทางคณะเดินทางยังคงอาศัยหลับนอนตามชายป่าระหว่างการเดินทาง จุดหมายที่กำลังจะถึงคือเมืองเหิงฟู่ ซึ่งเหวินซีเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันจะมีขนาดใหญ่มากน้อยเพียงใด แต่อีกไม่เกินสองวันก็จะได้รู้กัน

กลางดึกในคืนอันเงียบสงัดผู้คนต่างหลับใหลอยู่นั้น มีเพียงนักพรตท่านหนึ่งที่ยังคงนั่งหลับตาอยู่ภายใต้ผ้าสีขาวผืนเล็กที่ถูกโยงไว้กับต้นไม้ใหญ่ เสมือนมีการรับรู้เหตุการณ์บางอย่างล่วงหน้าจึงปลุกศิษย์ที่นอนเฝ้าอยู่ให้ตื่นขึ้น

“อี้ปินเจ้าไปปลุกเหวินซีให้ตื่นแล้วมาพบอาตมาเร็วเข้า” ใต้ซือหลุนแม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลคล้ายไม่เร่งรีบแต่ก็ผิดแปลกไปจากเดิมอยู่ไม่น้อย อี้ปินจึงรีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวซี...เสี่ยวซี...รีบตื่นเร็วเข้าใต้ซือเรียกพบเจ้า” อี้ปินเดินมาปลุกเหวินซีที่นอนอยู่ภายในรถม้า เหวินซีเมื่อได้ยินเสียงก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีอย่างไม่อิดออด เพราะอยู่กลางป่าเขานางต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นยามนี้เหตุใดท่านใต้ซือจึงต้องเรียกตัวไปพบด้วย มันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน

“ใต้ซือมีเรื่องด่วนอันใดหรือเจ้าคะ” เหวินซีเอ่ยถามทันทีเมื่อเดินมาถึง

ใต้ซือหลุนยังไม่ได้ตอบคำถามของเหวินซีในทันที แต่กลับส่งของบางอย่างให้กลับเด็กสาวตรงหน้า “เจ้ารับสิ่งนี้ไป”

“มันคืออะไรหรือเจ้าคะ” เหวินซีมองลูกแก้วขนาดเล็กจิ๋วตรงหน้าที่ถูกถักร้อยเข้ากับเชือกสีดำ

“ลูกแก้วเก็บวิญญาณ เจ้าเองก็เคยเห็นอาตมาใช้มาแล้ว ภายในลูกแก้วมีเศษเสี้ยวพลังของอาตมาอยู่ด้วย ส่วนนี่ตำราส่งวิญญาณเมื่อเก็บวิญญาณร้ายมาได้เจ้าก็สวดส่งวิญญาณพวกมันไปยังที่ที่มันควรไปเถิด” ใต้ซือหลุนเอ่ยบอกอย่างใจเย็น

“แล้วเหตุใดท่านใต้ซือจึงมอบมันให้ข้าเจ้าคะ” เหวินซีเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะทุกครั้งใต้ซือหลุนจะใช้มันกำจัดเหล่าวิญญาณร้าย

“หากเจ้ามีสิ่งนี้พวกวิญญาณร้ายจะไม่กล้าเข้าใกล้เจ้า แล้วก็ตำราเล่มนี้ยังมีสูตรทำยาและพืชสมุนไพรต่าง ๆ เจ้าหมั่นศึกษาเรียนรู้ให้มากเข้าใจหรือไม่เหวินซี”

“ข้าไม่เข้าใจ...” เหวินซีเข้าใจทุกอย่างที่ใต้ซือหลุนเอ่ยแต่นางไม่เข้าใจว่าท่านใต้ซือเอ่ยมาทั้งหมดนี้คล้ายว่าจะต้องจากกันไป

“เจ้ามีพลังวิเศษของเทพแต่นั่นมันก็ยังไม่พอที่เจ้าจะรับมือกับปีศาจร้าย ต่อไปนี้เจ้าจงใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์แห่งนี้อย่างเช่นคนธรรมดาและหมั่นฝึกฝนพลัง อย่าเกียจคร้านโดยเด็ดขาด หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลผู้คนมากมายในเมืองใหญ่ล้วนมีพลังปราณกล้าแกร่ง หาใช่ชาวบ้านธรรมดาไร้ฝีมือ เจ้าอย่าประมาทในการใช้ชีวิตเชียว อีกอย่างเจ้าจงหลีกเลี่ยงกับปีศาจร้ายจนกว่าจะได้พบกับคนผู้หนึ่งที่จะช่วยเจ้าคนที่มีดวงจิตอันแกร่งกล้า”

ใต้ซือหลุนเอ่ยบอกเด็กสาวด้วยความห่วงใย ขณะเดียวกันท้องฟ้าที่เคยมีแสงจันทร์สาดส่อง บัดนี้มันถูกบดบังด้วยก้อนเมฆสีดำขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว สายลมที่เคยพัดโชยสบายกลับแปรเปลี่ยนเป็นกรรโชกแรงอย่างบ้าคลั่ง เหวินซีและอี้ปินตกใจเป็นอย่างมากกับการเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วเช่นนี้

“ไม่มีเวลาแล้ว...อี้ปินพาเหวินซีไปหลบที่ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น” ใต้ซือหลุนเอ่ยสั่งศิษย์ของตน อี้ปินไม่อิดออดหรือถามความสิ่งใดเขารู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดา จึงรีบเก็บข้าวของใส่ย่ามแล้วพาตัวน้องสาวร่วมโลกไปยังต้นไม้อีกต้นที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก

“ใต้ซือท่านรับมือได้ใช่หรือไม่ ท่านต้องปลอดภัยนะเจ้าคะ” เหวินซีเอ่ยน้ำเสียงสั่นเครือ ยามนี้นางไม่มั่นใจว่าใต้ซือหลุนจะปลอดภัยเพราะคำสั่งเสียเมื่อครู่นี้ ชาวบ้านต่างบอกว่าใต้ซือหลุนเป็นผู้หยั่งรู้และนางก็รับรู้ถึงความสามารถของท่าน อย่างนี้แล้วจะให้นางสงบใจได้อย่างไรกัน แต่นางก็ไม่อาจอยู่ใกล้ทำให้ท่านใต้ซือต้องพะวงหน้าพะวงหลัง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel