ตอนที่ 16 ใต้ซือหลุนออกเดินทาง
# เมืองเหิงฟู่
เมืองเหิงฟู่เป็นเมืองขนาดกลางอยู่ห่างจากเมืองไห่หนานหลายร้อยลี้ เมืองนี้ปกครองโดยท่านเจ้าเมืองที่มีฐานะไม่ธรรมดาเพราะเป็นถึงองค์ชายรองของผู้ปกครองแคว้น ที่เขาได้ตำแหน่งปกครองเมืองเหิงฟู่ก็เพราะเป็นความต้องการของตัวเขาเอง ที่ต้องการตีตัวออกห่างจากเรื่องวุ่นวายภายในวังหลวง ที่จะมีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทในอีกไม่นานนี้
ถังหยุนฟ่านเป็นโอรสลำดับที่สองของราชวงศ์ถังอายุยี่สิบสองชันษา ด้วยองค์ชายรองถังหยุนฟ่านมีสติปัญญาล้ำเลิศอีกทั้งยังเก่งกาจเรื่องวรยุทธ์จึงทำให้ถูกหมายตาเอาไว้ในการเข้าชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายผู้นี้จะไม่ยินดีที่จะร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่ง หลังจากที่ทำความดีความชอบก็ทูลของรางวัลโดยการมาปกครองเมืองเหิงฟู่แห่งนี้
แต่เบื้องลึกเบื้องหลังในการตัดสินใจออกจากวังหลวงในครั้งนี้ไม่มีใครล่วงรู้ความลับนั้นได้นอกเสียจากเจ้าตัวและคนสนิทของเขา
“องค์ชายรองอาการของพระองค์ กระหม่อมเองก็ไม่อาจหาสาเหตุได้พะย่ะค่ะ” หมอฝีมือดีถูกตามตัวให้มารักษาอาการป่วยขององค์ชายรองผู้ดูแลเมืองเหิงฟู่ หมอที่มารักษานั้นส่วนมากจะเป็นหมอฝีมือดีและเก็บความลับของคนไข้ได้เป็นอย่างดี แต่กระนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยในครั้งนี้ได้เลย
“ขอบคุณท่านหมอ ข้าเองก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้” ถังหยุนฟ่านไม่คาดหวังในการรักษา เพราะเขาผ่านหมอฝีมือดีมาหลายคนแล้วและทุกคนก็มีคำตอบเดียวกันทั้งสิ้น
ถังหยุนฟ่านเริ่มมีอาการป่วยมานานหลายเดือนแล้ว จากคราแรกนั้นเขารู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียและรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าแต่ก่อน จึงให้หมอหลวงเริ่มตรวจรักษาแต่หมอหลวงกลับตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ร่างกายของเขาปกติดีทุกอย่าง
แต่ถังหยุนฟ่านรู้พละกำลังของตนดีว่าไม่เหมือนเดิม และจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็เริ่มแน่ใจยิ่งขึ้นเพราะพละกำลังของเขาก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ หลังจากเสร็จภารกิจหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งจากผู้ปกครองแคว้นหรือก็คือพระบิดา เขาจึงทูลขอย้ายตนเองออกจากวังหลวงทันที
คราแรกพระบิดาของเขาไม่ทรงยินยอม แต่ในเมื่อเคยลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าสามารถขอรางวัลจากงานครั้งนี้ได้ จึงต้องจำใจส่งตัวของเขามายังเมืองเหิงฟู่เพื่อประจำการในตำแหน่งเจ้าเมืองที่เว้นว่างอยู่ก่อนหน้านี้
ถังหยุนฟ่านรู้ตัวว่าหากอยู่ในวังหลวงต่อไปคงไม่เป็นการดี เขาอาจจะโดนพิษบางอย่างที่ทำให้พละกำลังถดถอยและพิษชนิดนี้อาจไม่สามารถตรวจพบได้โดยง่าย และคนที่ลงมือคงไม่พ้นพี่น้องของเขาอย่างแน่นอนแต่จะเป็นคนใดนั้นเขาไม่อาจรู้ได้ ตอนนี้เขาคงต้องลี้ภัยมาอยู่ให้ไกลเสียหน่อย เมื่อตนเองหายจากอาการป่วยแล้วก็ยังไม่สายที่จะกลับไปค้นหาความจริง
แต่หากว่าเขารักษาตัวไม่หายก็คงต้องยอมรับชะตากรรมในครั้งนี้แล้ว...
หลังจากที่ท่านหมอฝีมือดีออกไปจากจวน ฉีเยี่ยนองครักษ์คนสนิทก็ทิ้งเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมกับก้มศีรษะหมอบลงกับพื้น
“องค์ชายกระหม่อมไร้ความสามารถที่จะหาหมอฝีมือดีมารักษาพระองค์ได้ โปรดลงโทษกระหม่อมเถิดพะย่ะค่ะ” ฉีเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาเป็นห่วงองค์ชายรองไม่น้อย พยายามตามหาหมอไม่ว่าจะใกล้หรือไกลเขาก็พยายามตามหาเพื่อให้มารักษาองค์ชายรอง แต่ท่านหมอทุกคนก็ล้วนแต่จนปัญญาในการรักษา
“ลุกขึ้นเถิดฉีเยี่ยนใช่ความผิดของเจ้าเสียเมื่อไรกัน” ถังหยุนฟ่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“แต่...” ฉีเยี่ยนเงยหน้าขึ้นดวงตาของเขานั้นแดงกล่ำ
“ข้าเชื่อว่าสักวันจะต้องมีหมอฝีมือดีมารักษาข้าได้อย่างแน่นอน ตอนนี้อาการของข้าก็ยังไม่ได้แย่ลงมากถึงขนาดเดินเหินไม่ไหวเสียหน่อยยังเหลือเวลาอีกมาโข” ถังหยุนฟ่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น
“กระหม่อมจะพยายามให้เต็มที่พะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องกราบขออภัยที่แสดงท่าทีอ่อนแอออกมาให้พระองค์ต้องทรงกังวลไปด้วย” ฉีเยี่ยนเอ่ยด้วยความสำนึกผิด แทนที่ตัวเองจะเป็นฝ่ายปลอบใจผู้เป็นนายกลับยอมแพ้เสียโดยง่าย
“ไม่เป็นไร วันนี้ข้าไม่มีงานต้องออกข้างนอกเจ้าก็เตรียมงานมาไว้ให้ข้าที่ห้องทำงานก็แล้วกัน”
“พระองค์ไม่ทรงพักผ่อนเสียหน่อยหรือพะย่ะค่ะ”
“ไม่ล่ะ ข้าอยากทำงานมากกว่าหากปล่อยเอาไว้งานจะยิ่งยุ่งมากกว่านี้”
“กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้” เอ่ยจบฉีเยี่ยนก็ออกจากห้องทันทีเพื่อไปเตรียมงานให้ผู้เป็นนาย
ทางด้านเมืองไห่หนานตอนนี้ใต้ซือหลุน อี้ปินและเหวินซีกำลังเตรียมตัวเพื่อออกเดินทาง การเดินทางไปครั้งนี้ใต้ซือหลุนไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัด แต่เป้าหมายคือเผยแผ่พระธรรมความดีงามช่วยชี้ทางธรรมให้แก่ชาวบ้าน
นี่คือภารกิจที่ใต้ซือหลุนได้รับมอบหมาย…
ตอนนี้เหวินซีสามารถใช้พลังเทพได้ส่วนหนึ่งแล้วแต่อีกส่วนหนึ่งนั้นคงต้องพยายามฝึกฝนต่อไปอีก พลังที่เหวินซีได้รับเพิ่มเติมจากเมื่อก่อนตอนที่อยู่บนสวรรค์นั้นคือพลังด้านการต่อสู้ เหวินซีรู้สึกว่าพลังสายนี้มีความเข้มข้นและรุนแรงมากกว่าเมื่อก่อน และนี่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หากพลังของนางกลับมาอย่างสมบูรณ์คาดว่านางสามารถต่อกรกับปีศาจตงสิงได้อย่างแน่นอน
การเดินทางไปครั้งนี้ของใต้ซือหลุนแม้จะไม่ได้ป่าวประกาศให้ชาวบ้านรับรู้แต่ก็ไม่ได้ปกปิด ชาวบ้านที่รู้ข่าวจึงมารอส่งใต้ซือกันอย่างมากมาย ถึงแม้ว่าชาวบ้านอยากจะขอให้ใต้ซืออยู่ที่วัดเส้าหมิงตลอดไปก็ตาม เพราะหากใต้ซือหลุนอยู่ที่อารามแห่งนี้ พวกชาวบ้านก็รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น ด้วยเพราะเคยเจอกับสิ่งลี้ลับมากับตาคงจะมีแต่ใต้ซือหลุนเท่านั้นที่จะสามารถรับมือได้
ทั้งหมดเดินทางกันด้วยรถม้าโดยมีอี้ปินเป็นคนขับส่วนเหวินซีนั้นนั่งอยู่ด้านข้างอี้ปิน ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเหวินซีเป็นเด็กผู้หญิงเพราะทุกวันเหวินซีจะแต่งกายเสมือนกับเด็กผู้ชายจึงทำให้ไม่มีผู้ใดรับรู้ และหากเหวินซียังคงติดตามใต้ซือหลุนนางคงต้องแต่งกายเฉกเช่นบุรุษตลอดไป
การเดินทางนั้นไม่เร่งรีบอี้ปินค่อย ๆ ขับเคลื่อนรถม้าไปตามเส้นทางที่ชาวบ้านใช้สัญจร การเดินทางนั้นจะต้องผ่านป่าเขาตลอดทั้งเส้นทาง จึงทำให้การเดินทางในช่วงตอนกลางวันอากาศไม่ร้อนมากนัก ตามเส้นทางมีชาวบ้านสัญจรไม่มาก ด้วยตอนนี้เกิดสงครามทางชายแดนจึงไม่ค่อยมีผู้คนเดินทางมาเส้นทางนี้ ส่วนมากชาวบ้านจะเดินทางออกจากหมู่บ้านเสียมากกว่า
“อุ๊ย...ข้าตกใจหมด” เหวินซีหันไปมองอีกด้านของอี้ปินก็เห็นสตรีสวมชุดสีแดงร้อนแรงนั่งอยู่ด้านข้าง ด้วยความตกใจจึงร้องอุทานออกมาเสียงดัง ถึงแม้ว่าวิญญาณของสตรีผู้นี้จะไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวแต่การที่โผล่พรวดออกมาอย่างไร้ซุ้มให้เสียงมันก็ย่อมตกใจกันบ้าง
“เจ้าตกใจอะไรรึเสี่ยวซี” อี้ปินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แขกไม่ได้รับเชิญตามเรามาด้วยนะสิ”
“ห๊า...” อี้ปินอุทานด้วยความตกใจไม่เพียงแต่อุทานเท่านั้นเขายังดึงเชือกทำให้ม้าต้องชะลอความเร็วอย่างกะทันหัน จนเหวินซีแทบจะคะมำลงจากที่นั่ง
“พี่อี้ปินท่านเกือบทำให้ข้าร่วงลงจากรถม้าแล้ว” เหวินซีเอ่ยต่อว่าเล็กน้อย ไม่เพียงแต่เหวินซีเพียงเท่านั้นใต้ซือหลุนก็ยังเปิดผ้าม่านเพื่อไต่ถามเช่นเดียวกัน
“เกิดเหตุอันใดหรือ?” ใต้ซือหลุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเหมือนเช่นเดิม
“ก็เสี่ยวซีนะสิขอรับใต้ซือ นางบอกว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญตามมาด้วย แขกที่ว่านั่นคงไม่แคล้วเป็นพวกภูตผีหรอกหรือขอรับ” อี้ปินเอ่ยเล่าทันทีที่โดนถาม
