บทที่ 15 ช่วยเหลือคนจมน้ำ
“ยันต์ของใต้ซือหลุน” เหวินซีเพียงเอ่ยเท่านั้นอี้ปินก็รู้ได้ทันทีว่าต้องทำเช่นไรต่อไป ไม่รอช้าอี้ปินล้วงหยิบยันต์ของใต้ซือออกมาจากย่ามแล้วใช้ปากคาบเอาไว้ จากนั้นก็เดินลงน้ำไปทันที เพราะมีของดีอยู่ในมือวิญญาณร้ายต่างย่อมเกรงกลัว
ตัวของอี้ปินนั้นมองไม่เห็นวิญญาณจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว อีกอย่างเขาเองก็มียันต์ของใต้ซือหลุนอยู่กับตัวจึงรู้สึกอุ่นใจและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งลี้ลับตรงหน้า ผิดกับเหวินซีที่คราแรกนั้นดูจะฮึกเหิมในการกำจัดกับวิญญาณร้าย แต่เมื่อนางมองดูวิญญาณที่บัดนี้มันกำลังโกรธที่มีมนุษย์เข้าไปขัดขวางมัน ร่างกายของมันขยายใหญ่ขึ้นเป็นเงาดำทะมึนดวงตาแดงฉานลุกโชนคล้ายมีดวงไฟเผาไหม้อยู่ในนั้น
เหวินซีรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว และมองเงาร่างเล็ก ๆ ที่กำลังเดินเข้าใกล้วิญญาณร้ายด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์
หากอี้ปินรับรู้ถึงความคิดของน้องสาวร่วมโลกคงอยากกัดลิ้นตัวเองตายอย่างแน่นอน…
อี้ปินใกล้ถึงร่างชายหนุ่มผู้นั้นโดยมีสายตาของชาวบ้านคอยเอาใจช่วยอย่างลุ้นระทึก ทันใดนั้นร่างของอี้ปินจู่ ๆ เหมือนโดนบางอย่างฉุดรั้งขาของตนที่อยู่ภายใต้น้ำ อี้ปินร่างกายจมหายไปในน้ำท่ามกลางเสียงกรีดร้องของชาวบ้านเพราะตรงบริเวณนั้นเกิดเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ดูแล้วน่ากลัวยิ่ง
เหวินซีถึงแม้ว่าจะกลัวมากเพียงใดแต่จะให้พี่ชายร่วมโลกเผชิญชะตากรรมเพียงผู้เดียวก็ออกจะเห็นแก่ตัวเกินไป คิดได้ดังนั้นเหวินซีก็วิ่งขึ้นไปยืนอยู่กลางสะพาน ตรงบริเวณนี้อยู่ไม่ไกลจากจุดเกิดเรื่องเท่าใดนัก และก็ยังมีชาวบ้านยืนดูเหตุการณ์อยู่ประปราย
เหวินซีรวบรวมพลังของตนเองแล้วชี้นิ้วไปตรงจุดที่อี้ปินและชายผู้นั้นจมน้ำอยู่ เพียงไม่นานทั้งคู่ก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมาท่ามกลางเสียงดีใจโห่ร้องของชาวบ้าน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น
วิญญาณร้ายมันยังไม่ยอมปล่อยทั้งคู่ไปโดยง่าย โดยเฉพาะตอนนี้ยันต์ของใต้ซือหลุนไม่ได้อยู่ที่ปากของอี้ปินแล้วจึงง่ายต่อการสำแดงฤทธิ์เดชของวิญญาณร้าย
“บัดซบ!!” อี้ปินสบถออกมาเมื่อเห็นยันต์ของตนลอยห่างออกไป เมื่อตอนที่ตนจมอยู่ใต้น้ำด้วยความตกใจจึงเผลอปล่อยยันต์ให้หลุดออกจากปากไป เมื่อรู้ตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้วยันต์ได้ลอยหนีไปไกลแล้ว
ร่างของอี้ปินคล้ายโดนฉุดรั้งอย่างแรงให้ออกมาจากจุดที่ตนอยู่พร้อมกับบุรุษผู้นั้น นั่นเป็นฝีมือของเหวินซีที่พยายามจะช่วยให้ทั้งสองขึ้นฝั่ง แต่ดูเหมือนว่าเจ้าวิญญาณร้ายจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เมื่อมันลงมือกับเหยื่อแล้วมันต้องทำให้สำเร็จ
ร่างของทั้งสองถูกดูดดึงไปสู่น้ำวนอีกครั้งและมันก็ได้พัดพาทั้งคู่จมลงไป เจ้าวิญญาณร้ายมันแสยะยิ้มอย่างพึงพอใจ วันนี้มันหวังจะได้ดูดกลืนพลังวิญญาณเพียงหนึ่งแต่ไม่นึกว่าจะโชคดีได้ถึงสองคนเช่นนี้
วิญญาณร้ายนั้นมันไม่สามารถดูดกลืนพลังวิญญาณของมนุษย์ได้โดยตรงเพราะพลังของมันยังไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้น มันจึงต้องทำให้มนุษย์ตายเสียก่อนแล้วค่อยดูดพลังวิญญาณ หากสิงสู่ร่างมนุษย์ก็สามารถดูดกลืนพลังวิญญาณได้เหมือนกัน แต่มันชักช้าเสียเวลามันไม่ใช่วิญญาณกระจอกถึงต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก
เหวินซีกำหมัดแน่นมองวิญญาณร้ายแสยะยิ้มแล้วก็ยิ่งโมโห พลันสายตาเหลือบไปเห็นยันต์ของท่านใต้ซือหลุนลอยอยู่เหนือน้ำ เหวินซีเหมือนเห็นแสงสว่างเจิดจ้าลอยอยู่ตรงนั้น ไม่รอช้านางรวบรวมพลังแล้วชี้นิ้วไปที่ยันต์จากนั้นยันต์สีเหลืองอร่ามก็ลอยขึ้นเหนือน้ำท่ามกลางความตกตะลึงของชาวบ้าน เพราะมันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อเป็นอย่างมากที่จู่ ๆ ยันต์ก็ลอยขึ้นมาเองได้
หลายคนย่อมจดจำอี้ปินได้และยันต์สีเหลืองอร่ามที่ลอยเหนือน้ำอย่างน่าเหลือเชื่อนั้นย่อมต้องเป็นของใต้ซือหลุน! ชาวบ้านจากที่เคยนับถือใต้ซือหลุนก็ยิ่งกล่าวขวัญยกย่อง สลักชื่อเอาไว้ในใจให้เป็นนักพรตที่เก่งกาจดั่งเทพเซียน
ทุกคนมัวแต่สนใจเหตุการณ์ตรงหน้าจึงมิได้สนใจเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่อยู่บนสะพาน ยันต์สีเหลืองลอยพุ่งไปยังวิญญาณร้ายอย่างรวดเร็ว เจ้าวิญญาณร้ายนั้นไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ก็พลันตกใจและตะลึงงันจนลืมหนี ยันต์ลอยมาแปะลงตรงหน้าผากของมันเหมือนจับวาง มันกรีดร้องโหยหวนอย่างไม่ยินยอม
เสียงหวีดร้องโหยหวนนั้นดังออกมาจนชาวบ้านต่างได้ยินกันถ้วนทั่ว ทั้งหมดขนลุกขนชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่พวกชาวบ้านก็ต่างเข้าใจแล้วว่าเสียงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเสียงของอะไร
เสียงโหยหวนนั้นเงียบหายไปพร้อมกับกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ที่บ้าคลั่งก็พลันสงบลง เหวินซีรวบรวมพลังอีกครั้งฉุดร่างที่อยู่ใต้น้ำขึ้นมา ไม่เพียงแต่ร่างของทั้งสองโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ แต่ร่างของทั้งสองกลับลอยตัวขึ้นเหนือน้ำและค่อย ๆ ลอยขึ้นฝั่งราวกับเหาะได้
ครานี้ชาวบ้านดวงตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า เมื่อเห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ ทุกคนต่างคุกเข่าก้มหัวให้แก่ผู้วิเศษที่ช่วยเหลือคนได้ในครั้งนี้
เมื่อร่างของอี้ปินถูกวางลงพื้นพร้อมกับบุรุษอีกคนหนึ่งด้วยท่วงท่าสง่างามราวเหาะลงมา ทั้งสองก็สำลักน้ำและมีสติกลับมาครบถ้วน ชาวบ้านต่างเข้าไปห้อมล้อมด้วยความนับถือน้ำใจของอี้ปินที่เสียสละตัวเอง และมองอี้ปินว่าเป็นผู้มีวิชาเก่งกล้าอีกคนที่สามารถลอยตัวบนฟ้าได้ บุรุษที่ถูกวิญญาณควบคุมก็คุกเข่าคำนับไม่หยุด จนอี้ปินทำตัวไม่ถูก
เหวินซีพรูลมปากอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องสูญเสียผู้มีพระคุณของตนเองไป…
เช้าวันต่อมาเหตุการณ์เมื่อคืนต่างถูกกล่าวขานกันราวกับไฟไหม้ฟาง เรื่องราวน่าเหลือเชื่อเกี่ยวกับคนและสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าคนที่ถูกเอ่ยถึงนั้นย่อมเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญแห่งอารามเส้าหมิงศิษย์เอกของใต้ซือหลุนผู้เก่งกาจ ชาวบ้านจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าอี้ปินเก่งกาจเหมือนดั่งอาจารย์ต่างพากันมาอารามเส้าหมิงเพื่อแสดงความเลื่อมใส
เนื่องจากใต้ซือหลุนนั้นชาวบ้านเลื่อมใสกันอยู่ก่อนหน้าแล้วมาครั้งนี้ก็เป็นศิษย์เอกของท่านใต้ซืออีก ชาวบ้านจึงนำของมากราบไหว้ใต้ซือหลุนมากขึ้นและไม่เพียงแต่ใต้ซือหลุนอี้ปินเองยังพลอยได้น้ำใจในครั้งนี้อย่างไม่รู้ตัว
ปกติชาวบ้านจะนำเพียงแค่ผักและผลไม้มาบริจาคที่โรงครัว แต่บัดนี้มีเนื้อสัตว์พ่วงมาไม่น้อยนั่นเพราะอี้ปินนั่นเอง
“ยังจะมานั่งขำอีก มาช่วยข้ากวาดลานเสียดี ๆ เลยยัยตัวแสบ” อี้ปินเอ่ยด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ตอนนี้เขากลายเป็นคนโด่งดังแห่งเมืองหนานไห่ไปเสียแล้ว ว่าสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ถ้าตัวของเขาสามารถทำได้จะไม่มานั่งทุกข์ใจอย่างนี้เลย
“ท่านจะอารมณ์เสียไปใย หากมีเรื่องที่ต้องเสี่ยงตายอีกรับรองข้าต้องช่วยท่านอย่างแน่นอน” เหวินซีเอ่ยปลอบใจพี่ชายร่วมโลก
“ช่วยข้า? ช่วยให้ข้าลอยตัวอยู่บนอากาศอีกเช่นนั้นหรือ?” อี้ปินยังพูดจาแดกดันไม่เลิก
“เอาน่า...ข้ากลัวท่านจมน้ำตายนี่นาจึงรีบพาตัวขึ้นมาเร็วหน่อยก็เท่านั้น ข้าเป็นห่วงท่านนะแต่ท่านกลับต่อว่าข้าเสียอย่างนั้น มันน่าน้อยใจเสียจริง” เหวินซีเอ่ยพร้อมกับแสร้งทำหน้าเศร้าเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นใจ
“แล้วทีนี้จะเอาอย่างไร มีชาวบ้านมาขอร้องให้ไปช่วยปราบผีสางจนนับไม่ถ้วนเช่นนี้วุ่นวายไปหมด ปวดหลังก็มาขอให้ช่วย เป็นไข้หวัดแทนที่จะไปหาหมอกลับมาขอให้ข้าช่วยเสียอย่างนั้น เป็นเจ้ายังจะใจเย็นอยู่ได้หรือ?” อี้ปินยิ่งเอ่ยก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือ
“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ คิดข้าเชื่อว่าท่านเอาตัวรอดได้สบาย...”
“เจ้าพูดอย่างนี้จะไม่ช่วยข้าเช่นนั้นหรือ? เจ้ามันเป็นเทพแบบไหนกันขยันสร้างเรื่องแต่ไม่ช่วยแก้ปัญหา” อี้ปินเลือดขึ้นหน้าที่ถูกอีกฝ่ายทอดทิ้ง
“ข้าก็เป็นเทพตกสวรรค์อย่างไรเล่า ตัวข้าเองยังเอาตัวไม่รอดเลยอย่าหวังพึ่งพาข้าในตอนนี้ เอาน่า...ภายภาคหน้าหากพลังของข้ากลับมาสมบูรณ์ ข้าสัญญาว่าจะดูแลท่านเป็นอย่างดีเลย” เหวินซีเอ่ยบอกพี่ชายร่วมโลกด้วยน้ำเสียงง้องอนหวังให้เขาหายโกรธ
“ข้ายังจะเชื่อเจ้าได้อยู่เช่นนั้นหรือ?” อี้ปินกัดฟันเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยว
“ท่านยังมีทางเลือกอื่นอยู่เช่นนั้นหรือ?”
“ยัยตัวแสบ...”
หลังจากวันนั้นเหวินซีก็ถูกใต้ซือหลุนเรียกตัวไปฝึกสมาธิอย่างอย่างเข้มงวด ไม่เพียงเท่านั้นใต้ซือหลุนยังสอนบทคาถาที่สยบวิญญาณให้แก่เหวินซีอีกด้วย
ส่วนอี้ปินนั้นได้ใต้ซือหลุนช่วยออกปากบอกกล่าวแก่ชาวบ้าน นับตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ทั้งอี้ปินและเหวินซีตอนนี้ทำตัวสงบเรียบร้อยมากขึ้น ส่วนชาวบ้านตั้งแต่ที่ใต้ซือหลุนออกปากพูดก็ไม่ค่อยมีผู้ใดมารบกวนที่อารามอีก อารามเส้าหมิงจึงสงบสุขตั้งแต่นั้นมา
