บทที่ 6 เงินของคุณชาย
ม่อเหอตี้ไปเรียนที่สถาบันเค่อเฉิงในเช้าวันนี้ด้วยความรื่นเริงเต็มหัวใจ ก้อนตำลึงเงินในถุงผ้าใบเล็ก เขาใช้เชือกคล้องคอไว้อีกที นี่คือสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเด็กชายวัยสิบสี่
หลังเลิกเรียนเขาตรงดิ่งไปยังร้านขายเครื่องเขียน “เซียวเหยา” ที่อยู่เลยหน้าประตูสถาบันไม่ไกล
ร้านนี้จำหน่ายเครื่องเขียนและของใช้สำหรับนักศึกษา เมื่อสองปีก่อนมีกระเป๋าใส่ตำราที่ทำโดยช่างฝีมือออกมาจำหน่ายอยู่รุ่นหนึ่งเป็นที่นิยมของเหลาบัณฑิตและนักศึกษาในสถาบันเค่อเฉิงยิ่งนัก
ม่อเหอตี้เองก็อยากได้ แต่ราคาของมันก็เกินกว่าที่คนในครอบครัวธรรมดาอย่างเขาจะซื้อได้ เด็กชายจึงได้แต่มายืนชมและลูบคลำอยู่บางคราว
“เถ้าแก่ ข้าเอากระเป๋าใบนี้ขอรับ”
“เจ้าหนุ่ม มีเงินมาซื้อแล้วหรือ? เห็นมาแวะลูบคลำตั้งแต่ปีที่แล้ว ดีใจด้วยนะ” เถ้าแก่ร้านเครื่องเขียนมองดูเสื้อผ้าและข้าวของที่เด็กชายใช้แล้วก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายฐานะเป็นเช่นไร?
“เป็นเงินพี่ชายข้าน่ะขอรับ”
“ดีๆ ข้าจะลดให้เจ้าเป็นพิเศษก็แล้วกันนะ” เถ้าแก่วัยกลางคนมองเด็กหนุ่มด้วยความเมตตา เจ้าเด็กผู้นี้น่ารักและสุภาพน่าเอ็นดู ทุกคราวที่มายืนเมียงๆ มองๆ กระเป๋าก็จะขออนุญาตเถ้าแก่ก่อนและบอกตามตรงว่าตนเองอยากได้แต่ยังไม่มีเงินซื้อ
เถ้าแก่มองเงินหนึ่งตำลึงที่เด็กชายยื่นมาให้ แล้วทอนเงินให้พร้อมทั้งเตือนให้เขาเก็บเงินทอนกลับไปคืนที่บ้านให้ดี
“เจ้ามีถุงใส่เงินไหมเล่า? ถ้าไม่มีเดี๋ยวข้าจะให้เจ้าสักถุงก็แล้วกัน”
ม่อเหอตี้ค้อมศีรษะกล่าวขอบคุณเถ้าแก่ที่ยืนถุงใส่เงินทอนให้
“เจ้ารักษาเงินให้ดีๆ เล่า เก็บกลับไปคืนพี่ชายให้ครบล่ะ”
“ข้ายังอยากได้แท่นฝนหมึกกับตำราอีกสองสามเล่มที่ยังไม่มีด้วยขอรับ”
“เอาสิ เจ้าเลือกได้เลย วันนี้ข้าจะลดราคาให้เจ้าทุกอย่าง”
ม่อเหอตี้สะพายกระเป๋าใบใหม่เลือกตำราด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข กระเป๋าใบเก่าของเขาเป็นของที่ได้มาจากความกรุณาของเพื่อนบ้าน มันถูกท่านแม่ซ่อมปะซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบไม่มีที่จะซ่อมแล้ว เถ้าแก่เห็นเขายืนมองกระเป๋าใบเก่าก็ยิ้ม
“ดูท่า แม่ของเจ้าจะซ่อมกระเป๋าให้จนเต็มกลืนแล้วกระมัง”
“ขอรับ ในที่สุดข้าก็กระเป๋าใบใหม่เสียที ไม่ต้องสะพายไปคอยพยุงไปเพราะกลัวว่าก้นมันจะทะลุอีกแล้ว”
“ของทุกอย่างก็ย่อมมีอายุขัยของมัน ทิ้งเสียเถิด แล้วก็ใช้กระเป๋าใบใหม่ให้คุ้มค่า”
เด็กชายยิ้มกว้างก้มศีรษะอีกครา “ขอบคุณเถ้าแก่จางมากขอรับ”
“ขอให้เจ้าได้เป็นบัณฑิตสมที่มารดาเจ้ารอคอยก็แล้วกัน”
“ขอรับ ข้าจะตั้งใจ”
เด็กชายได้สิ่งที่ตนเองปรารถนามานานก็นึกอยากจะอวดและขณะเดียวกันก็คิดหาวิธีบอกมารดาเรื่องกระเป๋าใบใหม่ หากมารดารู้ว่าเขารับเงินมาจากคุณชายรองอู๋ก็คงจะโมโหเพราะยังมิได้ทำประโยชน์แต่กลับรับผลประโยชน์
คนที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ก็คงจะมีเพียงพี่สาวคนรองเท่านั้น ม่อเหอตี้ตรงไปยังร้านขายยาสมุนไพรที่ม่อเสี่ยวถงทำงานอยู่
“เสี่ยวตี้ เหตุใดจึงแวะมาหาข้าได้?”
“พี่เสี่ยวถง ท่านออกไปคุยกับข้าสักครู่ได้หรือไม่?”
ม่อเสี่ยวถงหันไปดูหน้าหลงจู๊จี้ผู้ดูแล คนผู้นั้นจึงพยักหน้าให้
“เจ้าไปคุยกับน้องชายเถิด ข้าให้เวลาครึ่งเค่อ”
“เจ้าค่ะ”
ม่อเสี่ยวถงเดินนำหน้าน้องชายไปด้านหลังร้าน นางหันกลับไปดูเด็กชายที่กระมิดกระเมี้ยนผิดปกติ
“บอกข้ามา เจ้าไปทำสิ่งใดผิดจึงได้มาหาข้าเพื่อให้แก้ไข?”
“พี่รู้ทันข้าอีกแล้ว”
“ข้ากับเจ้าโตมาด้วยกัน เจ้าคิดเช่นไรมีหรือข้าจะไม่รู้?”
“อือๆ ข้าพูดก็ได้” เด็กชายปลดกระเป๋าสะพายออกแล้วยื่นให้พี่สาวดู “ข้าซื้อกระเป๋าใหม่แล้วนะขอรับ”
ม่อเสี่ยวถงทำตาโต “นี่มันกระเป๋าราคาแพงที่เจ้าอยากได้นี่? ไปเอาเงินที่ใดมาซื้อ?”
“ข้าสารภาพก็ได้ ข้าได้เงินมาจากคุณชายคนที่มาส่งพี่ชิงฉือน่ะสิ”
ม่อเสี่ยวถงได้ยินก็เบิกตาโพลง
“คุณชายรองอู๋ เขาพาพี่ชิงฉือไปส่งที่บ้านเรานี่?”
“ขอรับ คุณชายรูปงามผู้นั้นล่ะ”
“นี่เจ้ารู้หรือไม่? นั่นคือคุณชายรองอู๋ บางคนก็เรียกเขาว่าท่านหมออู๋ ความจริงเขาเป็นเจ้าของร้านยาสมุนไพรที่ข้าทำงานอยู่”
เมื่อเช้าหลังจากที่เสี่ยวถงตื่นขึ้นมา ท่านแม่ของนางก็เล่าเรื่องคุณชายรองอู๋ให้ฟังด้วยความตื่นเต้น ม่อฮูหยินดีใจที่บุตรชายมีสหายร่ำรวยและนิสัยดีมาส่งถึงที่บ้าน ม่อเสี่ยวถงจึงได้บอกกับมารดาว่าบุรุษรูปงามผู้นั้นคือคุณชายรองอู๋ บุตรชายของคหบดีอู๋ เจ้าของร้านยาสมุนไพรที่นางทำงานอยู่
ม่อเหอตี้ที่ตื่นทีหลังจึงไม่ได้ฟังสิ่งที่พี่สาวบอกกับมารดา เด็กชายรับประทานอาหารเช้าแล้วรีบไปเรียนอย่างร่าเริง
“ไอหยา! ร้านยานี่มีตั้งสิบสาขาทั่วเมืองหลวงนะขอรับ”
“ไม่เพียงเท่านี้น่ะสิ มีตั้งหลายสาขาทั่วแคว้นหมิง”
“มิน่า! ท่านแม่บอกว่าคุณชายรองอู๋ร่ำรวยมาก”
“ถูกต้อง นี่คือหนึ่งในครอบครัวคหบดีของแคว้นหมิงเลยล่ะ” พี่สาวพยักหน้า “เหตุใดคุณชายรองอู๋จึงได้มอบเงินให้เจ้า?”
ม่อเหอตี้หน้าซีดลงเล็กน้อย เรื่องของคุณชายรองอู๋กับพี่ชายของเขา เดิมทีควรเก็บไว้เป็นความลับ แต่...ความลับช่างเป็นเรื่องคับอกเสียจริง
“เขาให้ข้าเอาไว้เป็นค่ารักษาความลับน่ะขอรับ”
เด็กชายจึงสารภาพความจริงให้กับพี่สาวฟัง ม่อเสี่ยวถงตกตะลึง นางเคยได้ยินเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับอู๋หยางที่เป็นต้วนซิ่วมาบ้าง และรู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นที่หมายปองของคุณหนูและคุณชายสกุลใหญ่มากมาย
“นี่เขา...เขาชอบพี่ชิงฉือจริงๆ หรือ?”
ม่อเหอตี้ก็มิได้ไร้เดียงสา เรื่องความรักระหว่างบุรุษเขาเคยได้ยินศิษย์พี่และสหายร่วมห้องพูดถึงหลายคราว เด็กชายเคยแอบไปอ่านนิยายรักของต้วนซิ่วอยู่ในหอสมุดสถาบันเค่อเฉิงอยู่บ่อยๆ แต่พอเห็นอู๋หยางจูบหน้าผากพี่ชายคนโตของตน เขาเองก็ตกใจมิใช่น้อย
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ดูจากที่เขาเช็ดตัวให้พี่ชิงฉือแล้ว คุณชายรองอู๋ดูใส่ใจอย่างมากขอรับ”
“ไม่ได้ๆ เขาเป็นคุณชายฐานะร่ำรวย ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะจริงใจกับพี่ชายของเรา เห็นทีข้าต้องบุกไปพบคุณชายรองอู๋สักหน่อย”
ม่อเสี่ยวถงจับข้อมือน้องชายจูงไปขอลางานกับหลงจู๊จี้ ใบหน้าของหญิงสาวดูมีความยุ่งยากใจ จนหลงจู๊วัยกลางคนต้องเอ่ยอนุญาต
“หลงจู๊จี้ ข้าขอความช่วยเหลือท่านสักอย่างสิเจ้าคะ”
“หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้ายินดีช่วย เจ้าบอกมาสิ”
“ข้าอยากไปขอพบท่านหมออู๋ท่านช่วยเขียนจดหมายให้ข้าเข้าไปในคฤหาสน์สกุลอู๋ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
"คุณชายรองน่ะหรือ?"
"เจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องไปพบเขาให้ได้"
หลงจู๊จี้ลงมือเขียนจดหมายแล้วยื่นให้กับลูกจ้างสาวโดยมิได้ซักไซ้ต่อ เขาคิดว่าเด็กหญิงอาจจะมีความจำเป็นที่ไม่อาจจะเอ่ยปาก
“เจ้าไปเถิด ไม่ว่าเจ้าคิดจะทำสิ่งใดก็ขอให้สำเร็จด้วยดี”
ม่อเสี่ยวถงกล่าวขอบคุณแล้วรีบพาน้องชายตรงไปยังคฤหาสน์สกุลอู๋
บ่าวรับใช้หน้าประตูคฤหาสน์อ่านจดหมายที่รับรองโดยหลงจู๊จี้แล้วก็เชิญหญิงสาวกับเด็กชายสกุลม่อเข้าไปรอที่ศาลาใหญ่
“พวกเจ้ามาได้ถูกเวลาเสียจริง คุณชายรองวันนี้อยู่ที่เรือนใหญ่พอดี รอตรงนี้ก่อนข้าจะไปเรียนท่านพ่อบ้านให้”
อู๋หยางได้ยินว่ามีสองพี่น้องสกุลม่อมาขอพบตนจึงรีบออกไปหา ม่อเสี่ยวถงได้เห็นคุณรองชายอู๋ครั้งแรกถึงกับตกตะลึง
‘คำร่ำลือถึงรูปโฉมงดงามราวเทพเซียนของบุรุษผู้นี้ไม่เกินจริงเลย หล่อเหลาสูงส่งเช่นนี้หากเป็นคู่รักกับพี่ชายของข้าก็คงดูดีนัก’
หญิงสาวพอนึกได้ก็รีบหยิกตนเอง พี่ชายของนางเป็นบุรุษ อู๋หยางก็เป็นบุรุษ ไม่ควรจะแต่งงานกันสักนิด ท่านแม่ของนางอยากจะได้หลานตัวน้อยเอาไว้เชยชม หากพวกเขารักกันจริงๆ ท่านแม่ก็คงจะผิดหวัง
ม่อเหอตี้รีบกระตุกชายเสื้อพี่สาว ม่อเสี่ยวถงได้สติรีบค้อมศีรษะคารวะอู๋หยางอย่างนอบน้อม บุรุษตรงหน้าคือเจ้านายคนหนึ่งของนางเช่นกัน
“พวกเจ้านั่งก่อนสิ” ชายหนุ่มผายมือเชิญ สาวใช้ที่เดินตามมาด้านหลังถือถาดที่มีขนมสองจานกับกาน้ำชาเข้ามาวางบนโต๊ะ
ม่อเหอตี้เห็นขนมในจานก็น้ำลายแทบจะหกออกมา เขาเคยเห็นขนมพวกนี้ในร้านหลัวหลัวแต่ไม่มีเงินพอจะซื้อกิน อู๋หยางเห็นท่าทางของเด็กชายก็ยิ้มน้อยๆ
“เจ้าเองสินะเสี่ยวตี้ นั่งลงกินขนมเสียก่อนสิ ถ้าเจ้าชอบเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวรับใช้ห่อให้ เอาไปฝากม่อฮูหยินด้วย”
***********************
