ตอนที่9.เรื่องราวน่ากลัวล้วนถูกแต่งขึ้น
“พูดเหมือนอยู่ตุนหวงพวกเจ้าไม่ได้กินขนมหวาน” ชายหนุ่มรูปร่างบอบบางสวมอาภรณ์สีขาว สายตายังจับจ้องที่หมากบนกระดานแต่ยังสามารถสนทนากับสององครักษ์ได้
“ท่านกุนซือก็...” เจิ้งหู่ทำเสียงครางเหมือนประท้วง หยิบขนมอีกคำเข้าปาก ดูดปลายนิ้วเอาความหวานเข้าไปด้วย “มันไม่เหมือนที่นี่”
“จริงด้วย ท่านกุนซือซิ่นเจี่ยงลองชิมสักคำสิ”
ซิ่นเจี่ยง เพียงมองด้วยหางตาก็ส่ายหน้าไปมา
เจิ้งหู่และเจิ้งไฉเป็นทหารองครักษ์ ส่วน ซิ่นเจี่ยง เป็นกุนซือ หนุ่มรูปงาม ทั้งสามร่วมรบกับองค์ชายเฟยเทียนตั้งแต่เหตุการณ์ ‘ทรายย้อมโลหิต’ พวกเขาล้วนเห็นและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น กระนั้นไม่ได้หวาดกลัวผู้เป็นนาย ซ้ำยังเทิดทูนกว่าที่เคยเป็นมา เพราะต้องการให้ทหารทุกคนได้ ‘กลับบ้าน’ จึงยอมให้ปีศาจมังกรเพลิงสิงสู่เป็นที่หลบซ่อนเทพมังกรที่ตามล่าปีศาจ กลายเป็นรอยสักรูปมังกรเพลิงบนท่อนแขนซ้าย
เรื่องราวน่ากลัวล้วนถูกแต่งขึ้น เพิ่มหวาดกลัวเกินความเป็นจริงไปมาก แต่องค์ชายเฟยเทียนไม่ใคร่ใส่ใจ ซ้ำยังดีใจที่ผู้คนหวาดกลัว ทำให้การรบของเขาแต่ละครั้ง ยิ่งสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารของฝ่ายตน สิบปีมานี้ ทั้งสามติดตามองค์ชายเฟยเทียน ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะอย่างไรมีเรื่องจริงอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน
“ไล่พวกนางออกไป”
“ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน
“นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่
“เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท
“พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า
ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล พวกนางได้รับค่าตัวแล้วก็จริง แต่นี่ถือเป็นสินน้ำใจเล็กน้อย
“ผู้หญิงนี่ก็แปลกประหลาดนัก ตอนเรียกมาไม่มีใครอยากเข้ามา ต้องประกาศเพิ่มเงินสามเท่าถึงมีคนใจกล้ามาปรนนิบัติองค์ชาย แต่พอเสร็จกิจแล้วกลับเรียกร้องอีก” เจิ้งไฉยักไหล่แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะขนม หยิบขนมเปี๊ยะส่งเข้าปากอีกคำ
“องค์ชายมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว เหตุใดไม่เข้าวังเสียที” ซิ่นเจี่ยงเอ่ยถามบุรุษที่ยกเหล้าขึ้นดื่มราวกับน้ำเปล่า
“เจ้าอยากเข้าวังหลวง ก็เข้าไปแทนข้าดีกว่าไหม?” องค์ชายเฟยเทียนหัวเราะในลำคอ
“กระหม่อมก็เพียงแค่ อยากกลับตุนหวงโดยเร็ว หากพระองค์จัดการเรื่องที่นี่เสร็จ พวกเราจะได้กลับบ้านกัน”
‘บ้าน’
องค์ชายเฟยเทียนเพียงแค่ทำเสียงหงุดหงิดในลำคอ เมืองหลวง
ควรเป็นบ้านของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ตุนหวงต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นบ้านที่แท้จริง ทั้งสี่เดินทางอย่างลับๆ มาถึงเมืองหลวงได้นับสัปดาห์แล้ว แต่ยังรั้งรอไม่เข้าวังหลวง ไม่ไปตำหนักของตน อาศัยพักในโรงเตี๊ยมและเสพสุขกับนางคณิกา
ดวงตาคู่คมแฝงรอยเศร้า สนามรบใดไม่น่ากลัวเท่าวังหลวง หากท่านแม่ยังอยู่ เขาจะรับนางไปอยู่ด้วยกันที่ตุนหวง
“เอาเถอะ ถือว่ามาเล่นสนุกก็แล้วกัน วันสองวันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าวังเสียที”
องค์ชายเฟยเทียนขว้างขวดสุราเปล่าใส่ผนัง ทั้งสามไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเพราะชาชิน ร่างสูงใหญ่ผลุบหายไปในห้องอีกครั้งแล้วสวมเสื้อผ้าของตนเอง พลางครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ฮองไทเฮาเรียกตัวเขากลับมาที่นี่
สถานที่ที่เขาไม่ปรารถนาจะมาเหยียบยืนเลยสักนิดเดียว.
