ตอนที่8.อีกฟากหนึ่ง ณ หอนางโลม
แม้เฟยเทียนมีวรยุทธ์สูง เชี่ยวชาญศาสตราวุธทุกชนิด แต่การรบในสนามรบครั้งแรกไม่ใช่เรื่องง่าย และยังเป็นการรบที่หวังให้เขาสิ้นชื่อในสนามรบ ไม่มีการส่งทหารกองหนุนไปช่วยเหลือ ตัดเสบียงอาหาร ใครเลยจะรู้ว่า ความสิ้นหวังของเฟยเทียน เรียกปีศาจมังกรเพลิงให้มาสิงสถิตที่ตนเอง แม้ได้รับชัยชนะ แต่เขาแลกวิญญาณกับปีศาจไปแล้ว
เขาไม่ใช่เทพแต่กลายเป็นปีศาจ! ปีศาจกระหายสงคราม!
ออกรบคราใดคว้าชัยชนะในทุกครั้ง ฝ่ายตนสูญเสียน้อยมาก อีกฝ่ายพ่ายแพ้ย่อยยับเหลือเพียงเศษซาก องค์ชายเฟยเทียนไม่สนใจที่ตนเองถูกปลดจากตำแหน่งรัชทายาท นับตั้งแต่วันที่รู้ว่ามารดาของตนสิ้นแล้ว เขายังมีสีหน้านิ่งเฉยราวกับรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง เขาไม่เรียกร้องเอาสิ่งใดนอกจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ประจำอยู่ที่ตุนหวง เมืองที่แปลว่าดวงไฟเจิดจ้า ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทราย แต่เป็นเส้นทางสำคัญที่เรียกว่า ‘เส้นทางสายไหม’
ราวหนึ่งเดือนก่อนไต้ซือซู่มาขอเข้าพบ ได้บอกเล่านิมิตให้ฮองไทเฮาทราบ
“องค์ชายเฟยเทียนยังมีหนทางเยียวยา อย่าให้เขาต้องสร้างบาปกรรมเพิ่มขึ้น ทำความดีสร้างบุญกุศลจึงพ้นจากเคราะห์กรรม”
“เห็นทีจะยากยิ่ง เขาเป็นนักรบ เข่นฆ่าผู้คนเพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็นแผ่นดินเดียวคือปณิธานของเขา หากยังทำไม่สำเร็จ คงไม่อาจหยุดยั้งการฆ่าลงได้”
“แต่งงาน”
“ไต้ซือว่าอะไรนะ?”
“ให้คนผู้นั้นแต่งงาน ดวงชะตาชีวิตของเขาจะเปลี่ยนแปลง ให้อีกดวงชะตาช่วยเหนี่ยวรั้ง มิให้เขาทำบาปกรรมหนักหนาไปกว่านี้”
“แล้วต้องแต่งกับผู้ใด วันเดือนปีเกิดใดเล่า ข้าจะหาคนที่ดวงชะตาสมพงศ์กับเฟยเทียนได้จากที่ใดกัน”
“ฮองไทเฮามิต้องกังวล เมื่อถึงเวลาองค์ชายเฟยเทียนจะเอ่ยชื่อของนางเอง”
นั่นเป็นเรื่องที่ฮองไทเฮาสนทนากับไต้ซือซู่ แม้อยู่ไกลกัน แต่พระนางก็มีคนส่งข่าวเรื่ององค์ชายเฟยเทียนอยู่เสมอ แต่ไม่เห็นวี่แววว่าองค์ชายทรงโปรดหญิงงามนางใดจนอยากแต่งตั้งเป็นพระชายาสักนางเดียว แต่เพื่อให้หลานชายพ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้ ฮองไทเฮาทรงสรรหาหญิงงามมารอต้อนรับวันที่หลานรักกลับมาวังหลวง แต่ด้วยชื่อเสียงที่ชวนให้สยดสยอง แม้เป็นองค์ชายและยังมีตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ กระนั้นไม่มีผู้ใดเสนอบุตรสาวมารับตำแหน่งชายาของเฟยเทียน คิดแค่นี้พระนางก็ทรงปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย แต่เพื่อทำตามคำขอร้องของหลินหลาน อย่างไรก็ต้องดูแลหลานชายคนนี้ให้ถึงที่สุด
อีกฟากหนึ่ง ณ หอนางโลมหอมหมื่นลี้ หอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ผู้ที่ถูกกล่าวถึงเรียกนางโลมใจกล้าเข้าไปปรนนิบัติพร้อมกันถึงสามนาง ในห้องพิเศษที่ตบแต่งอย่างงดงามและเย้ายวนด้วยกลิ่นหอมรวยริน มีเสียงการเคลื่อนไหวอยู่หลังม่านไม้ไผ่ การเคลื่อนไหวรุนแรงกระแทกกระทั้นเคล้ากับเสียงครางกระเส่าของหญิงคณิกาทั้งสาม
ด้านนอกม่านไม้ไผ่มีบุรุษใบหน้าอ่อนหวาน ที่ทำเอาหญิงสาวยังอับอาย คนผู้นั้นกำลังเดินหมากล้อมเพียงลำพัง เสียงเสพสุขนั้นไม่ได้ทำลายสมาธิของเขาแม้แต่น้อย ยังคงเดินหมากเพียงผู้เดียวอย่างใจเย็น ในขณะที่องครักษ์ผู้มีใบหน้าคล้ายกัน จนแทบถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันนั้น นั่งกินขนมของหวานราวกับเด็กน้อย ทั้งที่รูปร่างสูงใหญ่และอายุยี่สิบห้าเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าทั้งสามไม่ได้สนใจเสียงครวญครางหรือเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังอยู่นั่น ราวกับชินชากับสิ่งที่ได้ยินแล้ว
“เมืองหลวงนี่ดีจริง ขนมของกินอร่อยๆ ทั้งนั้น” บุรุษในชุดดำผู้หนึ่งเอ่ย เขาคือ เจิ้งหู่ องครักษ์ขวาขององค์ชายเฟยเทียน
“จริงด้วย คนในเมืองหลวงนี่มีเวลามานั่งประดิดประดอยทำขนมของหวานพวกนี้จริงๆ” เจิ้งไฉ เอ่ยอย่างเห็นด้วยกับพี่ชายฝาแฝดของตนเอง เขาคือองครักษ์ซ้ายขององค์ชายเฟยเทียน
เจิ้งหู่และเจิ้งไฉไม่ได้เป็นเพียงองครักษ์เท่านั้น ยังร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่องค์ชายเฟยเทียน สองพี่น้องเป็นเด็กกำพร้าที่องค์ชายเฟยเทียนรับเลี้ยงให้ฝึกฝนวรยุทธ์จนเก่งกาจไม่ด้อยกว่าผู้ใด แม้ลักษณะภายนอกจะดูนิ่งขรึม น่าเกรงขาม แต่นิสัยของทั้งสองเหมือนเด็กเล็กที่ชอบกินขนมของหวานเป็นที่สุด ถ้าให้ต้องเลือกระหว่างสาวงามกับกองขนมหวาน สองพี่น้องนี้ย่อมเลือกขนมหวาน จึงไม่แปลกใจที่ทั้งคู่จะนั่งกินขนมหวานอย่างเอร็ดอร่อย เฝ้าผู้เป็นนายที่เสพสุขกับหญิงคณิกาสามนางหลังม่านบังตานั่น
