ตอนที่4.ข้าแค่สงสัย
เมื่อมาถึงตำหนักของฮองไทเฮา ว่านหนิงเหมยเข้าไปถวายพระพรแล้วจึงขอตัวไปที่สวนสี่ฤดู ระหว่างทางเดินได้ยินเสียงนางกำนัลพูดถึง ‘องค์ชายเฟยเทียน’ จะเสด็จกลับวังหลวง หญิงสาวถึงกับชะงักเท้าไปแล้วรีบดึงสติกลับมา เมื่อถึงสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา ไม่มีผู้อื่นอยู่ที่นี่ เป็นเช่นนี้เพราะคำขอร้องของนางเอง
“ยามดูแลต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้ หม่อมฉันเหงื่อออกมาก อยากปลดผ้าปิดหน้าเพคะ”
ไม่มีผู้ใดอยากเห็นรอยแผลเป็นบนแก้มขวาของนางนัก ฮองไทเฮาทรงยอมให้นางอยู่ลำพัง ว่านหนิงเหมยปลดผ้าโปร่งออก ม้วนแขนเสื้อขึ้น นางไม่เคยไว้เล็บยาว มักตัดให้สั้นเสมอปลายนิ้ว เพราะดินมักติดซอกเล็บ ใบหน้าหวานผุดรอยยิ้ม มองดูกล้วยไม้ป่าที่เอียงอายอยู่ไม่ไกลนัก นางเดินเข้าไปใกล้แล้วส่ายหน้าไปมา นิ้วเรียวชี้ไปยังกลีบดอกสีเหลืองอ่อนกระจ่างตา
“ข้าบอกแล้วใช่ไหม เจ้าต้องส่งกลิ่นหอมทุกครั้งที่ฮองไทเฮาเสด็จมา มิเช่นนั้นจะไม่มีผู้ใดสนใจเจ้า”
เสียงใบไม้สั่นไหวทั้งที่ไม่มีลมพัดทำให้นางหัวเราะออกมา หญิงสาวหันไปแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นใส่ ยื่นมือไปประคองดอกกล้วยไม้ สงบใจเพียงครู่เดียว กล้วยไม้ที่เหี่ยวเฉาเมื่อครู่ พลันกลับมาสดใสอีกครั้ง นางยิ้มน้อยๆ เดินไปนั่งบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม ถอดรองเท้าปักลายดอกไม้ออกแล้วเหยียดเท้าเปลือยเปล่าเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่
นางจะให้ผู้ใดรู้ไม่ได้ว่า นางพูดคุยกับต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้ได้
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนที่นางอายุเก้าขวบ หลังจากช่วยงานป้าฮุยเหอแล้ว นางเดินจากครัวเพื่อกลับห้องนอนของตน แต่นางกลับเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งที่ศาลาหกเหลี่ยม ด้วยความสนใจจึงเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาเป็นประกายจ้องมองชายผู้มีเส้นผมสีเงินยวง คนผู้นั้นกำลังเดินหมากล้อมเพียงลำพัง ใบหน้าสุขุมนั้นวางหมากอย่างไร้ความลังเล นางเห็นเขาเดินหมากเพียงผู้เดียว กำหมากทั้งดำและขาวก็งุนงงจนอดถามไม่ได้
“ท่านเดินหมากคนเดียวเช่นนี้ ต่อให้หมากขาวหรือหมากดำชนะ ท่านก็ชนะอยู่ดีไม่ใช่รึ”
“หือ?”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองนาง
“ขออภัย พี่ชาย ข้าแค่สงสัย” นางหดคอด้วยความรู้สึกผิด จำได้ว่าเวลาเดินหมากไม่ควรพูดแทรกหรือส่งเสียงดังรบกวนสมาธิผู้อื่น
“เด็กน้อย เจ้ามองเห็นข้างั้นรึ”
ดวงตากลมจ้องมองอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าหงึกๆ นางเห็นมุมปากยกยิ้มก็รู้สึกโล่งอก เขาเคาะนิ้วที่เก้าอี้กลม คล้ายสั่งให้นางไปนั่ง เด็กหญิงตัวน้อยจึงเดินไปนั่งใกล้ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมงดงามนัก
“แปลกจริงที่เจ้ามองเห็นข้า”
“พี่ชายนั่งตรงนี้ ข้าเดินผ่านก็ย่อมมองเห็น” นางโคลงศีรษะอย่างงุนงงในสิ่งที่เขาพูด
“ไม่หรอก ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นข้า” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหลนัก
“พี่ชายเป็นแขกของท่านพ่อรึ” นางถามด้วยความสนใจ ไม่ได้
หวาดกลัวชายแปลกหน้าผู้นี้ แต่เขากลับส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เจ้าเดินหมากเป็นหรือไม่” เขาถามพลางวางหมากสีดำลงกระดาน
“ไม่เป็นเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้จับเม็ดหมากด้วยซ้ำ” นางพูดเสียงเบา เรื่องพวกนี้มีแต่คุณชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เรียน
“เช่นนั้นเจ้ามาเดินหมากเป็นเพื่อนข้าหน่อยก็แล้วกัน”
“แต่ข้าเดินหมากไม่เป็น...”
“ข้าจะสอนให้”
“พี่ชายพูดจริงนะ ไม่หลอกข้านะ”
“แล้วเจ้าไม่กลัวข้ารึ” เขาถามพลางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง เด็กหญิงส่ายหน้าไปมาแล้วยิ้มกว้าง
“ท่านไม่ใช่ภูตผี มีอะไรให้ข้ากลัวเล่า”
ชายผู้นั้นแหงนหน้าหัวเราะ ดึงนางมานั่งบนตัก สอนจับเม็ดหมาก วางหมาก เรียนรู้การเรียกจุดต่างๆ บนกระดาน กลายเป็นทุกคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พี่ชายผมสีเงินยวงจะมารอที่ศาลาหกเหลี่ยม นางจึงได้เดินหมากล้อมกับเขา นางจำไม่ได้ว่าตนเองเดินหมากกับพี่ชายท่านนี้นานเพียงใด วันคืนเคลื่อนผ่านจนนางไม่ได้นั่งตักของเขาแล้ว จนถึงวันที่นางชนะเขาได้เป็นครั้งแรก
“หนิงเหมย อีกประเดี๋ยวข้าก็ไม่ได้มาเดินหมากกับเจ้าแล้วนะ”
“พี่ชายจะไปที่ใด” นางถามน้ำเสียงเศร้า เรื่องที่นางหัดเดินหมากกับพี่ชายท่านนี้เป็นความลับ นางจึงไม่รู้ชื่อของพี่ชายผู้นี้ด้วย
