ตอนที่3.เจ้าไม่ต้องกลัว
“เจ้าไม่ต้องกลัว ...” ฮองไทเฮายื่นพระหัตถ์มาให้นางไปหลบด้านหลัง แต่นางกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ
“มิใช่เพคะ แผลนี้...แผลนี้...” นางคิดคำพูด ใจเต้นรัว หันไปมองหน้าชายผู้นั้นแต่เขากลับกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“เจ้าไม่ต้องกลัว”
“แผลนี้โดนกิ่งไม้เกี่ยวเพคะ ไม่ใช่เพราะคนผู้นั้น” นางพูดความจริงแล้ว แต่ฮองไทเฮากลับถอนหายใจหนักหน่วง
“เจ้าไม่ต้องไปแก้ตัวแทนเขา” ฮองไทเฮาปลอบนาง “เฟยเทียน ต่อให้เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่สร้างคุณงามความดีมากเพียงใด แต่เจ้าไม่ควรทำร้ายหญิงที่ไม่มีทางสู้เช่นนี้ หากนางทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ ก็ไม่ควรลงไม้ลงมือ วันข้างหน้านางเสียโฉมจะว่าอย่างไร”
มีเพียงเสียง ‘เหอะ’ ในลำคอ คล้ายว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ นางจำไม่ได้ว่าพระสนมหรือฮองเฮาเข้ามาเตือนฮองไทเฮาให้รีบพานางไปทำแผล นางจึงได้ก้าวเดินออกจากที่นั่น นับจากวันนั้น นางได้รับของปลอบขวัญมากมาย แพรพรรณงดงาม เครื่องประดับหรูหรา แต่นางไม่ได้รับของเหล่านั้น เป็นท่านแม่เก็บไว้เอง วันเวลาผ่านไป เรื่องของนางถูกลืมเลือน มีเพียงแต่นางที่ติดตามข่าวคราวของชายผู้นั้น จนได้รู้ว่าเขาคือ องค์ชายเฟยเทียน แม่ทัพใหญ่ผู้ผนวกดินแดนมังกรให้เป็นผืนแผ่นดินเดียว
สองปีมานี้ฮองไทเฮาโปรดกล้วยไม้และพรรณไม้หายาก เมื่อสิ่งใดที่ฮองไทเฮาโปรดปรานก็มีผู้คนนำไปถวาย แต่กล้วยไม้บางชนิดเมื่อย้ายถิ่นที่อยู่กลับไม่เจริญงอกงาม ฮองไทเฮาร้อนพระทัยหาผู้มาดูแลกล้วยไม้เหล่านี้ ปีนั้นนางอายุสิบหกได้เข้าไปถวายพระพรฮองไทเฮาในวันประสูติ นางแอบเห็นองค์ชายเฟยเทียน แม้ถูกปลดจากตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว แต่กระนั้นพระองค์ทรงน่าเกรงขาม สง่างาม นางแอบมองอยู่ไกลๆ
ด้วยใบหน้าอัปลักษณ์ของตนทำให้นางไม่กล้าเข้าใกล้ผู้อื่น ทำตัวราวกับตัวเองเป็นเชื้อโรคเสียเอง ที่ผ่านมานางพยายามบอกผู้อื่นเสมอว่าวันนั้นเป็นอุบัติเหตุ กิ่งไม้นั้นตวัดบาดแก้มนางจริงๆ แต่กลับไม่มีผู้ใดเชื่อ ยังคงโทษว่าเป็นความผิดขององค์ชายเฟยเทียน ทำให้นางรู้สึกผิดติดค้างอยู่ในใจ และคราวนั้นเองนางแอบย่องไปดูกล้วยไม้ของฮองไทเฮา ช่วยจัดการดูแลบำรุงรักษาให้ เจ้ากล้วยไม้ใกล้ตายจึงฟื้นคืนชีพมา นางคิดว่าสิ่งที่ทำไม่มีผู้ใดรู้เห็น แต่หลังจากนั้นสามวันก็ถูกเรียกตัว บรรดาสาวใช้ที่ไม่เคยดูแลนางต้องช่วยแต่งตัวแล้วรีบเข้าตำหนักของฮองไทเฮา ที่นางถูกเรียกเพราะมีขันทีผู้หนึ่งบังเอิญเห็นนางดูแลกล้วยไม้ล้ำค่าของฮองไทเฮา
“หม่อมฉันว่านหนิงเหมยเพคะ”
“เป็นเจ้าเองหรอกหรือ” ฮองไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสาร รอยแผลเป็นนูนหนาบนใบหน้า ราวกับรอยจารึกที่ไม่มีใครอยากจดจำ “ดูท่าทางเจ้าคงเป็นพวกมือเย็น มีพรสวรรค์เรื่องพวกนี้ อย่างไรแวะเวียนมาช่วยดูแลกล้วยไม้ของข้าหน่อยจะได้หรือไม่”
“หม่อมฉันยินดีเพคะ”
ด้วยเหตุนี้ ทุกห้าวันหรือเจ็ดวันนางต้องได้เข้าวังไปตำหนักฮองไทเฮา คอยดูแลต้นไม้และดอกไม้หายากเหล่านั้น ให้เบ่งบานเป็นที่พอพระทัยของฮองไทเฮา
นางเหมือนจะเป็นคนโปรด แต่เป็นคนโปรดที่ฮองไทเฮาไม่อยากทอดพระเนตรมองเพราะรอยแผลบนใบหน้า แม้นางปิดครึ่งใบหน้าของตนก็ตาม นางยังคงใช้ชีวิตปกติแบบไร้ตัวตนในบ้านตระกูลว่าน เป็นลูกอนุซ้ำยังมีรอยแผลอัปลักษณ์นี้อีก ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ามาสู่ขอเป็นภรรยา
เอาเถอะ นางไม่รู้สึกเดือดร้อนอันใด พอใจใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้ เพียงหวังว่าสักวัน จะได้พบชายผู้นั้นอีกสักครั้งครา.
รถม้ามารับว่านหนิงเหมยเช่นทุกครั้งเพื่อไปตำหนักของฮองไทเฮา หญิงสาวมักได้ยินเสียงฝากฝังให้พูดถึงคุณงามความดีของบิดา หรือไม่ก็หาตำแหน่งดีๆให้บุตรชายนิสัยดีของท่านพ่อ นางได้แต่พยักหน้ารับไปอย่างนั้น หากคนอย่างนางสามารถพูดจาประจบสอพลอได้จริง นางคงมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ พอขึ้นรถม้าแล้ว นางหัวเราะกับความคิดของตัวเอง ดีกว่านี้? ไม่หรอก แบบนี้นั่นแหละ ดีมากแล้ว
เห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในตระกูลของตัวเอง นางได้แต่ถอนหายใจ ต่อให้นางแต่งงานออกไป ใช่ว่าจะได้เจอผู้ชายดีๆ ‘ภรรยาสามอนุสี่’ บ้านไหนก็บ้านนั้น เห็นความวุ่นวายมามากพอแล้ว ชีวิตนี้ไม่ได้แต่งงาน นางไม่รู้สึกเสียใจอะไรสักนิด
