ตอนที่2. โชคชะตาของตน
ว่านหนิงเหมยชินชากับโชคชะตาของตน บิดาไม่รักไม่เท่าไหร่
มารดาไม่ใส่ใจอีกต่างหาก คนที่เลี้ยงดูนางไม่ใช่แม่นมกลับเป็นแม่ครัว ‘ป้าฮุยเหอ’ คนเก่าคนแก่อยู่มานานและไม่มีลูก ป้าฮุยเหอเองรักและเอ็นดูนางประดุจลูกในไส้ แม้ตนเองเป็นเพียงแม่ครัวก็ตาม แต่สิ่งที่นางเป็นอยู่ตอนนี้ นางไม่เห็นเป็นเรื่องราวให้ชวนน้อยใจ การที่มีป้าฮุยเหอดูแลนาง ก็ทำให้นางกินอิ่มทุกมื้อ แน่ละ เพราะนางเติบโตในครัวเสียมากกว่า จะไม่ให้อิ่มได้อย่างไร
บิดาเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือคุณชายทั้งสอง แต่เพราะตามใจคุณชายมาก ทั้งสองจึงไม่ใคร่ใส่ใจการเล่าเรียน นางที่คอยยกน้ำชาและขนมของว่าง จึงได้แอบจดจำ เรียนรู้และฝึกฝนด้วยตนเอง เรื่องใดที่ไม่รู้ก็แอบถามท่านอาจารย์ นางโชคดีที่ท่านอาจารย์เมตตาคอยให้คำแนะนำ แม้ไม่สอนนางโดยตรงก็ตามที นางจึงพอมีความรู้บ้าง เรื่องงานเย็บปักถักร้อย นางต้องทำแทนพี่น้องผู้อื่น นางทำบ่อยจนคุ้นชิน สองมือเรียวบางจึงไม่ได้อ่อนนุ่ม แต่มีปุ่มเนื้อด้านอยู่หลายแห่ง เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้นางไม่มีผู้ใดมาสู่ขอ แต่เพราะรอยแผลเป็นคล้ายพระจันทร์เสี้ยวบนแก้มขวาต่างหาก แผลเป็นที่หนานูนอัปลักษณ์ชวนให้รู้สึกสยดสยอง หากเวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้อื่น นางจะมีผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้า มิให้เห็นรอยแผลน่าเกลียดของนาง
หากเมื่ออยู่ในครัวเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งใบหน้า เพียงคิดถึงรอยแผลเป็นนี้ หัวใจก็เต้นรัวทุกทีไป รอยแผลนี้เกิดเมื่อตอนที่นางอายุสิบสอง ครานั้นได้ติดตามพี่สาวร่วมบิดาเข้าวังไปงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวง แต่เพราะนางเป็นเพียงลูกอนุ จึงไม่ใคร่มีใครอยากสนทนาด้วย ด้วยความสนใจต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณแสนงดงาม ซึ่งไม่ได้พบเห็นทั่วไป ทำให้นางชื่นชมเพลิดเพลินจนพลัดหลงกับพี่น้องคนอื่นๆ
บุรุษร่างสูงสง่ายืนใต้แสงตะวัน เขาดูงดงามดุจภาพวาด แม้สวมชุดสีดำขลิบแดง ซึ่งนางไม่เคยพบเห็นมาก่อน รวมทั้งปลายผมยาวของคนผู้นั้น มีสีแดงราวกับจุ่มหมึกโลหิตด้วย ภาพเบื้องหน้าดึงดูดนางให้เดินเข้าไปใกล้ราวกับถูกมนตร์สะกด บุรุษผู้นั้นรู้ตัวจึงหันมามอง ดวงตาคมจ้องมองทำเอานางแทบหยุดหายใจ นางมิได้หวาดกลัว แต่เพราะเขาหล่อเหลาดุจเทพเซียน จนหัวใจน้อยๆ ของนางเต้นไม่เป็นจังหวะ พวงแก้มร้อนผ่าวอย่างไม่เคยเป็น ร่างสูงสง่าหมุนตัวแล้วเดินตรงมาทางนาง ท่าทางคุกคามของเขาทำให้อยากถอยหนีแต่ทำไม่ได้ นางเห็นเพียงเขายกมือขึ้นก็รีบหลับตาแน่นด้วยความตกใจ เพียงพริบตา นางรู้สึกเจ็บแปลบที่แก้มขวา เมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นสีหน้านิ่งขรึมแต่แววตาฉายความประหลาดใจ มือเรียวยกขึ้นแตะแก้มตนเอง รู้สึกถึงน้ำเหนียวหนืดเมื่อหงายฝ่ามือขึ้นดู จึงรู้ว่ามีเลือดไหลออกมา
ตกใจแต่ไม่ได้กรีดร้อง งุนงงและได้แต่ทำตาปริบๆ ดวงตาคมวาวคู่นั้นเองเพียงแค่หรี่มองอย่างประหลาดใจ ทั้งสองตื่นจากภวังค์เพราะเสียงนางกำนัลที่บังเอิญผ่านมาและกรีดร้องเสียงหลงเพราะตกใจที่เห็นซีกขวาของนางมีรอยแผล เลือดสีสดไหลจากแก้มลงมาที่คางเปรอะปกเสื้อ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดแผลตนเองเพื่อห้ามเลือด ในขณะที่ชายผู้นั้นยกมือขึ้นกอดอกยืนนิ่งดู ครู่ต่อมาฮองไทเฮารีบเสด็จมาดูด้วยพระองค์เอง
‘เฟยเทียน! ไยเจ้าทำร้ายนางซึ่งเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้น’
นางจำได้ว่าตนตะลึงลานทำสิ่งใดไม่ถูก บรรดาองค์หญิงและท่านหญิงต่างพามามุงดู ทุกคนหวาดกลัวชายผู้นั้นไม่กล้าสบตา นางรีบส่ายหน้าไปมา พยายามเค้นเสียงพูดออกมาด้วยความตกใจ
“มิได้เพคะ แผลนี้มิใช่ฝีมือของ...” นางไม่รู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร ได้ยินเพียงฮองไทเฮาเรียกชื่อเขา อีกฝ่ายก็ไม่แสดงความยำเกรงใดๆ แสดงว่าชายผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
