บท
ตั้งค่า

ตอนที่13.

“ข้าไปดูต้นไม้ก่อนนะ เสร็จแล้วจะมาคุยด้วย”

‘รีบไปหาองค์ชายเฟยเทียนละสิ’

‘เรียกท่านอ๋องได้แล้ว ท่านอ๋องเจ้าขา’

ว่านหนิงเหมยหน้าแดงกับคำกระเซ้าของเหล่าต้นไม้ปากดี พอสนิทสนมเข้าหน่อย มารุมเล่นงานนางเสียนี่ นางตั้งใจเดินไปดูต้นไม้ที่ขนมาจากดินแดนทะเลทรายจริงๆ แต่เมื่อเห็นนางกำนัลเดินผ่านจึงเรียกตัวไว้สอบถาม ได้ความเช่นที่บรรดาต้นไม้ปากดีนั้นบอกนาง

“รบกวนพวกเจ้าจัดสุรารสเลิศสำหรับองค์ชาย เอ่อ...ท่านอ๋อง และขนมของหวานกับน้ำชาให้ท่านกุนซือและองครักษ์ด้วยเถิด”

“อะไรนะเจ้าคะ” ขนม? ใครจะกล้ายกไปล่ะ

“รบกวนด้วย ประเดี๋ยวข้ายกไปให้เอง”

นางเข้าใจดีว่าแต่ละคนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ นึกถึงเรื่องที่เหล่าพฤกษากระซิบบอก นางถึงกับกลั้นหัวเราะ ใครเลยจะคาดคิดว่าองครักษ์ผู้น่าเกรงขามชื่นชอบขนมหวาน

ตามธรรมเนียมแล้ว ตำหนักในไม่อนุญาตให้บุรุษเข้ามาพำนัก

หากนี่เป็นความประสงค์ของฮองไทเฮาจึงเป็นข้อยกเว้น แม้องค์ชายเฟยเทียนมีตำหนักของพระองค์เอง แต่ทุกครั้งที่กลับมาวังหลวงจะถูกรั้งตัวให้พักที่ตำหนักของฮองไทเฮาเสมอ

“ต่อไปนี้พวกเราต้องเรียกองค์ชายว่าชินอ๋องแล้วใช่ไหม ท่านกุนซือ”

เจิ้งหู่องครักษ์ขวาเอ่ยถามซิ่นเจี่ยง กุนซือและเป็นคนสนิทขององค์ชายเฟยเทียน ที่ยามนี้กึ่งนั่งกึ่งนอนเอกเขนกบนตั่งนุ่มกลางห้องรับรองที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้คนทั้งสี่ ด้วยคำเชิญแกมบังคับให้องค์ชายเฟยเทียนพักอยู่ในตำหนักของฮองไทเฮา

“เฮอะ!” องค์ชายเฟยเทียนแค่นเสียงในลำคอ ยื่นมือไปรับจอกสุราจากเจิ้งไฉ บรรดานางกำนัลต่างหวาดกลัวจนมือไม้สั่น ด้วยความรำคาญจึงไล่ไปให้หมด เหลือเพียงคนสนิททั้งสามคน แม้ฐานะต้อยต่ำ แต่สำหรับเขาแล้ว ทั้งสามล้วนเป็นสหายรักที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา

“จะตำแหน่งอะไรคิดว่าข้าสนใจงั้นเรอะ” กรอกสุราลงคอแล้วยื่นจอกส่งให้องครักษ์ซ้ายรินให้เช่นเคย เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนี้องครักษ์ซ้ายขวาก็ปลดหน้ากากเหล็กของตนเองออก

“เอาเป็นว่าเรียกชินอ๋องให้คุ้นปากไว้เป็นดี” ซิ่นเจี่ยงเอ่ยขึ้น แต่สายตายังจ้องมองที่กระดานหมากล้อม “มีตำแหน่งก็ย่อมเป็นเรื่องดี ทำสิ่งใดย่อมมีผู้เกรงอกเกรงใจ”

“ข้าว่าทุกวันนี้ก็มีคนเกรงกลัวมากพออยู่แล้ว” เจิ้งไฉโคลงศีรษะไปมา นางกำนัลหรือขันทียังไม่กล้าเข้ามารับใช้เลย

เจิ้งไฉและเจิ้งหู่ มั่นใจในเรื่องการต่อสู้และฝีมือของตนเองก็จริง แต่เรื่องละเอียดอ่อนพวกนี้ ต้องให้ซิ่นเจี่ยงคอยเตือนพวกเขา จะว่าไปก็รวมถึงองค์ชายพระทัยร้อนผู้นั้นด้วยเหมือนกัน

“ข้าไม่ชอบวังหลวงเอาเสียเลย ไฉนฮองไทเฮาต้องให้องค์ชาย เอ่อ ชินอ๋องพำนักในตำหนักในด้วย” เจิ้งหู่พูดน้ำเสียงเหมือนเด็กเล็กที่ถูกขัดใจ ไม่ได้เข้ากับใบหน้าและท่าทางของตนเองเลยสักนิด

ซิ่นเจี่ยงยื่นมือไปใช้พัดเคาะศีรษะของเจิ้งหู่แรงๆ ไปหนึ่งที ทำเอาเจิ้งหู่ยกมือกุมศีรษะลูบรอยที่โดนตีเมื่อครู่

“เจ้านี่ก็คิดถึงแต่เรื่องของกิน!”

“ก็มันจริงนี่ขอรับท่านซิ่นเจี่ยง” เจิ้งไฉรีบพูดแทนพี่ชาย “ไม่มีผู้ใดจัดขนมของว่างและน้ำชาให้พวกเราเลย ใครๆ ก็ว่าขนมในวังหลวงเลิศรสเป็นที่สุด”

“กับแกล้มเต็มโต๊ะ เจ้ายังจะถามหาของว่าง!” ซิ่นเจี่ยงทำท่าจะตีเจิ้งไฉแต่อีกฝ่ายรีบกระโดดหลบเสียก่อน

องค์ชายเฟยเทียนหรือตอนนี้คือชินอ๋องและเป็นผู้ปกครองตุนหวงเพียงแค่ยกจอกสุราขึ้นดื่ม หากในวังหลวงนี้สิ้นฮองไทเฮาแล้ว เขาไม่เหลือผู้ใดให้อยากมาพบ มีเพียงฮองไทเฮาที่ทรงเลี้ยงดูเขาตั้งแต่เยาว์วัย แม้ทุกวันนี้ก็ทรงเป็นพระองค์เดียวที่ยังห่วงใยเขาอยู่ เขารู้ดีว่ามีสายคอยส่งข่าวเรื่องของเขาให้ทางฮองไทเฮาทราบ

ตุนหวงอยู่ในการปกครองของแคว้นกันซู่ สิบปีมานี้ที่เขากรำศึกทั้งปราบขบถและชนเผ่าที่กระด้างกระเดื่อง แต่เขากลับเลือกปักหลักยึดตุนหวงไว้เป็นฐานที่ตั้งมั่นของทหาร ในฐานะที่ตุนหวงเป็นดินแดนเชื่อมต่อการคมนาคมระหว่างจองหยวน (เมืองหลวง) กับดินแดนอื่น เส้นทางการค้าสำคัญที่ถูกเรียกว่าเส้นทางสายไหม รายได้จากการจัดเก็บภาษีค่าผ่านทางมากมายจนประเมินค่ามิได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel