บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 บ่าวคนใหม่ของคุณบัว

“ลูกขอหยีมารับใช้ส่วนตัวนะคะคุณแม่” บัวเอ่ยเสียงหวานกับคุณหญิงแก้วผู้เป็นมารดา แขนเรียวเกี่ยวกอดเอวของมารดาไว้อย่างออดอ้อน

“อะไรดลใจให้เจ้าเอ็นดูหยีมันเล่าแม่บัว” คุณหญิงเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“มันรับใช้ถูกใจลูก ช่างคิดช่างทำไม่โง่เง่าเหมือนนังจำปี” บัวบอกอย่างเอาแต่ใจ

“ตามใจเจ้าแล้วกัน” คุณหญิงแก้วบอกอย่างเอาใจลูกสาวคนเล็ก

“แต่มันไม่ใช่บ่าวบ้านเราจะขอรับท่านแม่” ขุนกริชเอ่ยค้าน ก่อนหันไปมองหญิงสาวหลงทางที่มองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร นึกแล้วก็เวทนาอยู่ไม่น้อยทั้งคำพูดคำจาที่ฟังไม่รู้ความแล้วไหนจะรูปร่างหน้าตาผิวพรรณที่ดูหมดจดจับตานั่นอีก หากจะไล่ให้พ้นเรือนก็คงไม่ดีแน่

“เอ้า...นังหยีเอ็งว่ายังไง จะมาคอยรับใช้ลูกข้าได้หรือไม่ ยังไงเอ็งก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้วไม่ใช่รึ” คุณหญิงแก้วเอ่ยถาม

ยาหยีได้แต่หันไปมองขุนกริชอย่างขอความช่วยเหลือ เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องตอบว่าอย่างไร

“เอาเถอะ...แล้วแต่แม่บัวแล้วกัน อยากได้มันก็ตามใจ” คุณหญิงแก้วเอ่ยอย่างตัดปัญหา

ยาหยีได้แต่มองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเมื่อถูกพามายังที่ไม่คุ้นตา และรอบตัวมีคนเต็มไปหมดนี่สินะงานบุญที่จำปีบอกยาหยีคิดในใจ และด้วยความที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรตอนนี้เธอจึงได้แต่ยืนมองตามบัวที่เดินไปไหว้หญิงสาวคนหนึ่งในงาน หญิงสาวที่บัวคุยด้วยนั้นมีใบหน้าที่สวยงามไม่น้อยและชุดกับเครื่องประดับที่ใส่นั้นก็ดูเข้ากับราวจับวาง

“น้องบัวไปทำอะไรมา หน้าตาทำไมคมคายแปลกตาทีเดียว” เพ็ญเอ่ยชมเมื่อเห็นว่าวันนี้บัวดูสวยผิดตา

“จริงรึเจ้าคะพี่เพ็ญ” บัวยิ้มอย่างถูกใจเมื่อได้รับคำชมจากหญิงสาวที่ขึ้นชื่อเรื่องความงามและยังเป็นคู่หมั้นของขุนกริชพี่ชายของเธออีกด้วย

“มานี่หยี อย่าเกะกะคุณหนูบัว” จำปีเอ่ยก่อนจะรั้งแขนให้ยาหยีลงไปนั่งข้างๆ

“ใครเหรอ” ยาหยีหันไปกระซิบถามจำปีก่อนจะพยักเพยิดไปยังหญิงสาวที่คุยอยู่กับบัว

“คุณเพ็ญ คู่หมั้นท่านขุนกริช” จำปีบอก

ยาหยีได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะนึกถึงใบหน้าขมเข้มของขุนกริช และก็พลางมองหญิงสาวตรงหน้า

“ลูกออกมาคงน่ารักน่าเอ็นดูมากแน่ๆ” ยาหยีบ่นพึมพำ แต่ไม่พ้นหูจำปีที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เดี๋ยวเถอะเอ็ง สาระแนเรื่องเจ้านายแบบนี้ได้โดนเฆี่ยนหลังลายแน่ถ้าใครได้ยินเข้า” จำปีเอ่ยเตือน

ยาหยีได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะยกมือขึ้นมาตีปาดตัวเองเบาๆ ทำท่าทำทางให้จำปีรู้ว่าจะไม่พูดแล้ว

“มานี่มาข้าช่วยตี” จำปียื่นมามาแตะปากยาหยีอย่างหยอกล้อเมื่อเห็นยาหยีทำท่ายียวนใส่

“เรื่องอะไรล่ะ ฮ่าๆ” ยาหยีโยกตัวหลบก่อนจะหัวเราะคิกคัก

“บ่าวที่ไหนมานั่งหยอกกันตรงนี้ หัวเราะเสียงดังลั่นเรือนใครเขาจะว่านายไม่สั่งสอน”

เสียงทักกึ่งตำหนิที่ดังเสียจนบัวหันมามอง ยาหยีเงยหน้ามองเจ้าของเสียงก็พบกับชายหนุ่มที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่เธอไม่เข้าใจนัก ก่อนสะดุ้งเมื่อรับรู้ถึงแรงสะกิดของจำปี เมื่อหันไปก็พบว่าจำปีกำลังนั่งก้มหน้าลงกับพื้นราวทำอะไรผิด

“ก้มลงๆ” จำปีบอกเสียงเบา แต่ยาหยีก็ทำตามทันที

“มีอะไรกันรึเจ้าคะ ท่านขุน” เสียงของบัวที่เดินมาเอ่ยถาม

“มีอะไรกันรึหยี” บัวหันมาถามยาหยีที่พามาด้วยทันที

“บ่าวของเจ้าหรอกรึ พี่เห็นนั่งหัวเราะระริกระรี้เสียงดังไปถึงท่าน้ำ”

“น้องต้องขอโทษด้วยเจ้าค่ะ นังนี่มันบ้าใบ้ไม่ค่อยเต็มเต็ง พี่กริชช่วยเอาไว้จากพม่านอกกำแพงเมือง น้องเวทนาเลยเอามาชุบเลี้ยงไว้” บัวบอกกับชายหนุ่มตรงหน้า

“เอาเถอะ วันนี้เป็นวันดีบ้านเราทำบุญบ้านพี่พุ่มก็ขึ้นไปฟังพระสวดเถอะเจ้าค่ะ” เพ็ญที่เดินมาสมทบเอ่ยตัดบทพี่ชายของตน

ฟากยาหยีมองคนทั้งสามเดินขึ้นเรือนหลังใหญ่ไปด้วยหัวใจที่คุกกรุ่น เธอรู้ดีว่าตอนนี้ฐานะของเธอคือทาส คือชนชั้นต่ำในยุคสมัยนี้ ที่ใครจะกดขี่อย่างไรก็ได้ แต่พอได้ฟังประโยคดูแคลนของบัวแล้วก็อดโมโหไม่ได้ แล้วไหนจะโดนว่าทั้งที่เธอกับจำปีแค่หยอกล้อเล่นกันนั่นก็อีก เธอกับจำปีก็คนทำไมต้องมาว่ากันด้วย ยาหยีได้แต่คิดพลางถอนกายใจอย่างอึดอัด

“เป็นอะไรไปล่ะนังหยี หน้าหงิกหน้างอ” จำปีเอ่ยถามก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆยาหยี พลางยื่นขันน้ำให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างมีน้ำใจ

“ขอบใจ” ยาหยีรับน้ำมาดื่ม ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะถามออกมาอย่างสงสัย “ใครเหรอจำปี”

“ใครคนไหนล่ะ” จำปีถามกลับพลางหยิบก้อนหินปาลงน้ำเล่น ตอนนี้จำปีพายาหยีมาหลบนั่งเล่นอยู่ที่ท่าน้ำหลังเรือน คนในงานมากมายคุณบัวเองก็ไม่ได้เรียกใช้ ทาสอย่างเธอจึงอาศัยเวลาแบบนี้แหละได้มานั่งเล่นให้สบายใจบ้าง

“ผู้ชายคนนั้น คนที่ว่าเรา” ยาหยีถาม

“อ่อ...ขุนศรีณรง หรือคุณพุ่ม พี่ชายคุณเพ็ญ ลูกชายคนโตของคุณหญิงเพ็ง พ่อของท่านเป็นถึงเจ้าพระยาเชียวนา” จำปีบอกก่อนจะเห็นว่าใบหน้าของหยียังคงเศร้าสร้อย

“เอาเถอะวะหยีเอ๊ย เราเป็นทาสจะโดนด่าโดนว่าบ้างก็ต้องอดต้องทน อย่าคิดกระไรไปให้มากความ คุณบัวเองถึงจะอารมณ์ร้ายไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่ามีน้ำใจกับบ่าวอย่างเรามากโขอยู่”

“อืม” ยาหยีพยักหน้าตอบ

“เดี๋ยวข้าไปขอปันขนมในครัวมาให้กิน เมื่อตะกี้เดินผ่านน่ากินหลายอย่างเชียว เอ็งนั่งรอข้าที่นี่แหละ” จำปีบอกก่อนจะผละออกไป

ยาหยีมองตามจำปีที่เดินลับไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้งความอึดอัดคับข้องใจยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึก เธอไม่รู้จะทำยังไงเธอมาที่นี่ได้ยังไงและที่สำคัญเธอจะกลับยังไง เพียงแค่คิดว่าจะต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไป น้ำใสๆ ก็ค่อยๆ เอ่อออกมารอบดวงตาอย่างห้ามไม่ได้

“โดนเจ้านายว่ากล่าวตักเตือนนิดหน่อย ถึงขนาดหนีมานั่งร้องไห้เชียวรึ” เสียงทักที่ดังมาจากด้านหลังทำเอายาหยีสะดุ้ง ร่างบางขยับตัวหันไปดูก็พบกับคนที่นึกเกลียดหน้าทันที

“เอ่อ...ท่านขุนศรีณรง” ยาหยีก้มหน้าลงทันทีไม่อยากให้คนอย่างนี้เห็นน้ำตา ก่อนจะพยายามปลีกตัวเดินหนีออกมา แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมง่ายๆ เมื่อเขาขยับตัวมาดักเธอเอาไว้อย่างจงใจ

“แม่บัวบอกข้าว่าเจ้าเป็นคนบ้าใบ้ที่ขุนกริชช่วยมาจากนอกกำแพงเมืองงั้นรึ”

“เจ้าค่ะ” ยาหยีจำใจตอบ สายตาเหลือบมองหาทางหนีทีไล่ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าสายตาที่ชายตรงหน้ามองมาตอนนี้มันดูไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่

“คนบ้าใบ้ที่ไหนกันจะหมดจดขนาดนี้บอกข้าทีเถอะ เจ้าชื่อว่ากระไรนะข้าได้ยินแม่บัวเรียกไม่ถนัด” ขุนศรีณรงเอ่ยถาม ท่าทางคุกคามนั้นทำเอายาหยีเริ่มใจไม่ได้ ขาเรียวจึงพยายามก้าวถอยหนี

“ท่านขุนศรีมาทำกระไรตรงนี้รึแขกเหรื่อถามหากันทั้งงาน” เสียงทุ้มที่เอ่ยขัดจังหวะนั้นช่างคุ้นหู ยาหยีเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับร่างสูงใหญ่ของขุนกริชที่ตอนนี้ยืนอยู่ด้านหลังขุนศรีณรง

ยาหยีไม่ทันได้คิดอะไร เธอพาตัวเองไปหลบอยู่ข้างหลังของขุนกริชทันทีมือเรียวเผลอยื่นออกไปจับแขนของกริชเพื่อขอความช่วยเหลืออย่างลืมตัว

ท่าทางหวาดกลัวของยาหยีนั้นทำเอาขุนกริชที่มองอยู่ถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนจะเหลือบมองขุนศรีที่มองกลับมาอยู่ก่อนแล้วและแสดงท่าทางสงสัยอย่างไม่ปิดบัง

“ข้าถามท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลย มาทำกระไรที่หลังเรือนหรือท่าน” กริชกล่าวออกไปก่อนจะเหลือบมองยาหยีที่ยังคงจับแขนเขาแน่น

“นี่มันเรือนข้านะท่านขุนกริช ข้าจะไปไหนก็ย่อมได้ ว่าแต่ท่านเถอะปล่อยให้บ่าวจับมือถือแขนกลางวันแสกๆแบบนี้ มันจะดูไม่ดีเอานา” ยาหยีได้ยินอย่างนั้นจึงรีบปล่อยแขนกริชทันที

“ข้าไม่ถือ และไม่เห็นจะแปลกกระไร ในเมื่อบ่าวมันกลัว” ขุนกริชบอก “ว่าแต่ท่านเถอะทำกระไรบ่าวมันถึงกลัวขนาดนี้เล่า ข่าวคราวว่าท่านเที่ยวไปฉุดลูกสาวชาวบ้านเขา จนพ่อแม่เขาต้องไปร้องเรียนยืนฎีกาเรื่องยังไม่ทันจะเงียบดี จะมาก่อเรื่องกระไรกับบ่าวมันอีกรึ” กริชพูดอย่างไม่ไว้หน้า ใจจริงเขาไม่ชอบขุนศรีณรงสักเท่าไหร่ เพราะรู้ดีถึงกิตติศัพท์ความเจ้าชู้หยิบโหย่ง อาศัยบารมีพ่อเข้ารับราชการกินตำแหน่งถึงขุนแต่กลับไร้ฝีมือ

“นี่ท่าน...”

“คุยกระไรกันอยู่รึเจ้าคะ” เสียงหวานๆ ของเพ็ญเอ่ยขัดขึ้นขัดจังหวะ

“แม่เพ็ญ” กริชเอ่ยทักหญิงคู่หมั้น

“ไหว้เจ้าค่ะพี่กริช” เพ็ญยกมือไหว้กริชก่อนจะเหลือบตามองหยีที่ยืนอยู่ข้างๆ จริงๆ เธอมาถึงสักพักแล้ว แต่เลือกที่จะหยุดฟังการสนทนาของพี่ชายตนเองและคู่หมั้นอยู่เป็นครู่ก่อนที่จะเดินเข้ามา และแน่นอนว่าเธอเห็นว่าบ่าวของแม่บัวที่ชื่อหยีคนนี้จับแขนของคู่หมั้นตนเอาไว้อย่างสนิทสนม และนั่นทำให้เธอไม่พอใจมากทีเดียว

“น้องเห็นพี่กริชมาถึงแล้ว แต่มิใคร่ขึ้นเรือนเลยตามมาดูเจ้าค่ะ” เพ็ญบอกก่อนจะยิ้มหวานอย่างเอาใจ

“ขอบน้ำใจเจ้าอุตส่าห์ลงมาตาม” กริชตอบก่อนจะหันไปพูดกับหยี “เจ้าเองก็ไปหานายเจ้าซะ แม่บัวอยู่บนเรือนกระมัง”

“เจ้าค่ะ” ยาหยีตอบ ก่อนจะรีบเลี่ยงเดินออกไปทันที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel