ตอนที่ 2-1 เมคอัพอาร์ติส แห่งอโยธยา
ยาหยีพยายามตั้งสติตัวเองอยู่เป็นครู่ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อม้าที่ขี่มาอยู่ดีๆ ก็หยุดเดิน
“มะ..มีอะไร”
“เข้ามาในเขตกำแพงเมืองแล้ว เอ็งลงเสียที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ก่อนจะลงจากม้า และดึงตัวของหญิงสาวลงมาด้วย
“โอ๊ย!” ยาหยีอุทานทันทีที่เหยียบลงพื้น ข้อเท้าของเธอแพลงและตอนนี้มันเริ่มบวมแล้ว เธอจึงยืนเองไม่ได้เหมือนเคย
“เจ็บมากรึ” ชายหนุ่มเอ่ยถามใบหน้าหล่อเหลาขมวดมุ่นอย่างคิดไม่ตก หญิงงามตรงหน้าท่าทางบ้าใบ้พูดจาไม่รู้เรื่อง แต่ก็หน้าตาสะสวยสะอาดสะอ้าน เขามองไปรอบๆ ชาวบ้านเริ่มหันมามองและซุบกันแล้ว นี่ถ้าเรื่องไปถึงหูแม่เพ็ญคู่หมั้นของเขาคงเป็นเรื่องอีกแน่
“เจ็บมาก คุณคะที่นี่มันที่ไหนกันทำไมทุกอย่างดูแปลกแบบนี้ล่ะ” ยาหยีเอ่ยถามอย่างหมดหนทาง ในใจนึกกังวลไปหมด ทุกอย่างตรงหน้าดูแปลกตา จะว่าเป็นกองละครก็คงไม่ใช่ เพราะทุกอย่างมันเหมือนจริงเกินไป ทั้งวัดต่างๆ ที่สวยงามราวกับภาพวาด ไหนจะคนมากมายที่แต่งกายแปลกตา และที่ทำให้เธอแทบจะร้องไห้ก็คงเป็นกำแพงสูงใหญ่ที่เธอเพิ่งผ่านเข้ามานี่ล่ะ ถึงเธอจะไม่ได้เก่งประวัติศาสตร์มากมายนักแต่เธอก็พอจะรู้ว่า กำแพงเมืองอยุธยาน่ะปัจจุบันนั้นแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แต่กำแพงตรงหน้าของเธอนั้นยังคงยิ่งใหญ่และสวยงาม คิดได้แค่นั้นยาหยีก็ต้องรีบดึงสติตัวเองกลับมา เธอไม่กล้าคิดต่อไปแล้วว่าเธอกำลังเจอกับอะไร
“ที่นี่ก็กรุงศรีอยุธยาอย่างไรเล่า เอ็งมาจากที่ใดถึงไม่รู้จักกำแพงกรุงศรี” ชายหนุ่มถามทั้งหงุดหงิดที่ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มมองมากขึ้น แต่อีกใจก็นึกห่วงเมื่อข้อเท้าของหญิงสาวตรงหน้าเริ่มบวมขึ้นจนมองเห็นได้
“มะ...ไม่จริงหรอก คุณอำฉันใช่ไหม ฮึก” ยาหยีมองไปรอบๆ แล้วยกมือทาบอก เคยอ่านผ่านตามาบ้างนิยายพีเรียดย้อนยุค ละครช่อง 3 ช่อง 7 เธอก็ติดอยู่หลายเรื่องนะ ที่นางเอกพลัดหลงยุคมา นี่เธอหลุดมาในยุคอยุธยาจริงๆหรือนี่ แต่ไม่นะเรื่องจริงมันไม่สนุก เธอชอบโอปป้า ผิวขาว ตาตี่ หน้าตี๋ มากกว่า ผู้ชายผิวคร้ามแดด ป่าเถื่อน พูดจาเหมือนตะคอกอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับ เหมือนเอ่อ....
จากนั้นสาวเจ้าก็ปล่อยเสียงร้องลั่น “ไม่นะ ไม่นะ ฉันไม่อยากข้ามภพมาอยุธยา จะหลงยุคทั้งที่ทำไมไม่ส่งหยีไปยุค
โซซ็อน โครกรูยอ แพ็กเจ ชิลลา ก็ได้”
“หยุด...ข้าบอกให้หยุด มายืนร้องไห้แบบนี้ชาวบ้านได้หาว่าข้ารังแกเอ็งกันพอดี เอ็งเป็นบ้าอะไร ฮึ” ชายหนุ่มเริ่มลนลานเมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าเริ่มสะอื้นมากขึ้น พอเขายิ่งดุนางก็ยิ่งมองหน้าเขาแล้วแหกปากร้องเสียงดังหนักกว่าเดิม
นี่แหละเหตุผลที่เธอไม่ชอบ ผู้ชายไทย ตัวใหญ่ บ้าอำนาจ “แล้วฉันจะทำยังไงดี” ยาหยีเงยหน้าถามชายหนุ่มตรงหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะเม้มปากกลั้นสะอื้น และแน่นอนว่าทำเอาคนถูกถามถึงกับถอนหายใจ
ขุนกริชชายหนุ่มที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงฝีมือดาบ และการต่อสู้ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญหา เมื่อสุดท้ายแล้วเขาก็ตัดใจทิ้งหญิงสาวแปลกหน้าไม่ลงจนต้องพานางมาด้วย
“ไปที่เรือนข้าก่อน”
ยาหยีไม่เคยนั่งม้ามาก่อน ร่างบางอ้อนแอ้นตอนนี้ได้แต่ทำตัวเป็นปลิงเกาะติดร่างแกร่ง กำยำไปทั้งตัว จับโดนไปตรงไหนก็แข็งหนั่นแน่นไปทั้งตัว ม้าตัวเขื่องพาเธอกับเขาลัดเลาะวิ่งผ่านหมู่บ้านใหญ่น้อย ผ่านผู้คนมากมายด้วยเครื่องแต่งกายที่เธอเห็นพวกคอสตูมจัดหาให้นักแสดงในละครพีเรียดสวมใส่บ่อยๆ เป็นผ้าแทบกับโจงกระเบน หรือผ้านุ่ง หลากสีสันตามฐานะ จนกระทั่งมาถึงเรือนไทยใหญ่โตที่สุดเท่าที่เธอผ่านตามา
“นี่เรือนแม่ข้า” ชายหนุ่มหันไปบอกกับหญิงสาวที่เข้าจำใจพามาด้วยอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งเมื่อบ่างไพร่ในเรือนเริ่มเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ แอบมองอย่างสอดรู้เมื่อเห็นว่าเขาพาหญิงแปลกหน้ากลับเรือนแบบนี้
ยาหยีได้แต่พยักหน้า ก่อนจะพยายามเดินกะเผลกตามชายหนุ่มขึ้นเรือนไปอย่างไม่มีทางเลือก หญิงสาวมองซ้ายมองขวาก็พบกับชายหญิงหลายคนที่มองมาอย่างสอดรู้ เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ กลับไปอย่างเสียไม่ได้และไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรดี
“นั่นใครกันเล่าพ่อกริช” เสียงของหญิงสูงวัยที่ฟังดูน่าเกรงขาวดังขึ้นทำเอายาหยีสะดุ้งก่อนจะหันไปพบกับหญิงสาววัยกลางคนนั่งอยู่กลางเรือนล้อมหน้าหลังด้วยบรรดาคนใช้ที่ดูเหมือนจะหมอบซะจนติดพื้น
ยาหยีนั่งลงกับพื้นทันทีโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาบอก เธอพอจะดูละครมาบ้างหากนางเอกหลงยุคมามักจะโวยวายและดื้อดึง แต่ยาหยีรู้ดีว่าความจริงที่พบอยู่มันน่าหวั่นใจกว่าใจละครมากนักเพราะฉะนั้นคนอย่างเธอจึงถือคติ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เธอพอจะเดาออกว่าชายหนุ่มที่เธอตามมานั้นคงพอมียศศักดิ์อยู่บ้าง ดูจากบ้านและบรรดาคนใช้ทั้งหลาย เอ๊ะหรือที่นี่เขาจะเรียกว่าทาสกันนะ ยาหยีคิด
“ลูกเจอหญิงผู้นี้หกล้มอยู่หน้าประตูวัดขอรับ ท่าทางจะขาแพลงพูดจาก็ไม่รู้ความจะปล่อยเอาไว้ก็กลัวใจว่าจะเตลิดไปไหนเสีย” ขุนกริชเอ่ยบอกกับคุณหญิงแก้วผู้เป็นมารดา
“ แล้วเอ็งชื่อกระไรล่ะ” คุณหญิงแก้วเอ่ยถามนึกแปลกใจในการแต่งกายของหญิงสาวตรงหน้าไม่น้อย
“ฉะ...ฉันชื่อ..ยา...เอ่อ...ยาหยีค่ะ” ยาหยีอ้ำอึ้งไม่ก่อนจะตัดสินใจบอกชื่อเล่นของตนออกไป เพราะถ้าเธอหลงมาในสมัยโบราณ ชื่อจริงของเธอก็คงประหลาดไม่น้อยและถ้าถูกถามเธอเองก็ไม่รู้จะอธิบายเช่นไร
“ชื่อประหลาดนัก แล้วเรือนเอ็งอยู่ไหนเล่า” คุณหญิงแก้วเอ่ยถาม
“มะ...ไม่รู้...จำไม่ได้ค่ะ” ยาหยีเลือกที่จะโกหกออกไป
“สงสัยจะล้มหัวฟาดพื้นด้วยกระมัง ความจำถึงเลอะๆ เลือนๆ พูดจาบ้าใบ้ไม่รู้เรื่อง” ขุนกริชเอ่ยออกมา “เอ็งล้มแรงขนาดนั้นเชียว หรือเอ็งจะป่วยด้วย”
“น่าเวทนานัก ยังสาวยังแส้อยู่แท้ๆ มาสติฟั้นเฟือนเอาเสียได้ เอาเถอะไปหาหยูกยาใส่เสียก่อน พออาการดีขึ้นอาจจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้างก็ได้” คุณหญิงแก้วนึกเวทนาจึงสั่งให้บ่าวในเรือนพาตัวยาหยีไปรักษา
ยาหยีได้แต่ทำตามที่คนรอบข้างบอก เธอถูกพามารักษาแบบที่เธอเองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะทำให้อาการของเธอดีขึ้นหรือแย่ลงกันแน่ ขาที่เจ็บถูกพันด้วยใบไม้ที่นำมารนไฟจนร้อน หญิงสาวได้แต่ทนเธอเก็บเอาเสื้อผ้าและของทุกอย่างที่ติดตัวมาใส่ห่อผ้าเอาไว้อย่ามิดชิดก่อนที่จะต้องเรียนรู้การห่มผ้าแถบและนุ่งโจงกระเบนอย่างทุลักทุเล
เธอเหมือนถูกขังให้อยู่ในกระท่อมแคบๆ ผุพังกับบ่าวผู้หญิงอีกคนที่ชื่อจำปี ที่คอยมาดูแลเธอตามคำสั่งของคุณหญิงแก้ว จำปียังเป็นสาวแรกรุ่นรูปร่างผอมแห้งคล้ำแดดแต่ใจดีกับเธอเสมอ และเธอเองก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากจำปีนี่แหละ
“เอ็งดีขึ้นแล้วรึหยี” จำปีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ายาหยีเริ่มลุกขึ้นเดินได้
“อืม” ยาหยีตอบ เธอมาอยู่ที่นี่ได้สามวันแล้ว อาการขาแพลงเริ่มดีขึ้นแต่เธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เธอจะทำยังไงดี หากเธอต้องการจะกลับไปยังที่ที่เธอจากมาเธอจะต้องทำยังไงกันนะ
“ถ้าเบื่อมาก เอ็งจะออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้ก็ได้นะ แต่ระวังอย่าไปทางด้านโรงตีดาบเชียว แถวนั้นถ้าไม่ใช่คนงานตีดาบใครไปวุ่นวายได้โดนเฆี่ยนหลังลายกันเป็นแถวเชียวล่ะ
“ทำไมล่ะจำปี” ยาหยีถามเธอพอรู้จากจำปีมาบ้างว่า ผู้ชายที่ช่วยเธอมาชื่อขุนกริชวรเดช นอกจากฝีมือรบที่เก่งกล้าแล้ว ยังว่ากันว่ามีฝีมือตีดาบที่ไม่แพ้ใครอีกด้วย
“ก็วิชาตีดาบขอท่านขุนกริชน่ะ สืบต่อกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อท่านน่ะสิคนนอกไม่ใช่ว่าจะเข้าไปดูได้ง่ายๆ” จำปีบอกก่อนจะลุกขึ้น
“ข้าไปรับใช้นายท่านบนเรือนก่อนนะ” จำปีบอกก่อนจะถอนหายใจ
