ตอนที่ 1-1
ประตูแห่งกาลเวลา
จะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
(เครดิต นิราศอิเหนา)
วันนี้วันอะไรของเธอนะ เธอทะเลาะกับญาติในเรื่องงี่เง่าในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ยังต้องมาเจอลูกค้า เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล เอ่อ...คงเป็นวันซวย ขนาดท่องพุทโธ วนไปวนมาภายในใจเธอก็แทบอยากจะถอดใจกับลูกค้าจุกจิกจู้จี้คนนี้ แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพเมคอัพอาร์ติสที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าคนหนึ่งในวงการ เธอต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ระหว่างทำงานเธอพยายามทำใจสงบเพื่อสยบความหงุดหงิด
“ฉันไม่ชอบสีนี้” มือเหี่ยวย่นวางกระจกลงก่อนจะปรายตามองคนที่มาแต่งหน้าให้อย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“คุณหญิงไม่ชอบสีนี้หยีเปลี่ยนให้นะคะ” สาวสวยหุ่นดีฉีกยิ้มอย่างเอาใจก่อนจะลงมือเปลี่ยนสีปากให้คุณหญิงเป็นรอบที่สาม หญิงสาวพยายามทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถทั้งที่ตลอดเวลาเธอโดนว่ากระทบกระเทียบหลายครั้ง จริงๆ แล้วงานนี้เป็นงานของพี่อลิส รุ่นพี่เมคอัพอาร์ติสสาวสองที่รับงานไว้ แต่พอรู้ว่าคนจ้างเป็นคุณหญิงปราณีจอมเรื่องมาก พี่อลิสกลับโยนงานมาให้เธอซะอย่างนั้น ยาหยีไม่ใช่คนเรื่องมากจึงรับงานนี้ไว้อย่างไม่คิดอะไร แต่พอมาเจอฤทธิ์เดชของคุณหญิงเข้าด้วยตัวเองเธอจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมพี่อลิสถึงไม่ยอมรับงานนี้ ลูกค้าอยากให้เธอแต่งหน้าออกมาสวยเหมือนคุณชมพู่ อารยา ส่วนอายุลูกค้าจอมเรื่องมากปากเข้าไปหกสิบสองต่อให้เธอใช้เครื่องสำอางชั้นเลิศปกปิดเรียบเนียนขนาดไหนยังไงก็คงเปลี่ยนหน้าคนวัยหกสิบกว่าให้สวยพริ้งเหมือนดาราสาวได้ ถ้าทำได้ขนาดนั้นสถานความงามทั้งหลายคงไม่จำเป็นต้องมี
ยาหยีเก็บอุปกรณ์ลงกระเป๋าทันทีที่งานเสร็จ ขาเรียวยาวพาตัวเองออกจากห้องแต่งหน้าที่แสนอึดอัดนี้ทันที เธอไม่ใช่มือใหม่ในสายงานนี้ จะว่าไปเธอเองก็มีชื่อเสียงและฝีมืออยู่มาก แต่การที่โดนคุณหญิงปราณีแสดงอาการไม่พอใจในฝีมือแต่งหน้าของเธออย่างไร้เหตุผลบ่อยๆ เพราะคุณหญิงนำรูปการแต่งหน้าเข้าชิงรางวัลของซุปตาร์หญิงคนหนึ่งมาให้เธอดู ต้องการให้แต่งออกมาโทนนั้น ซึ่งไม่เหมาะกับคุณหญิง แม้เธอจะแนะนำให้เปลี่ยนโทนสีใหม่ แต่ลูกค้าไม่ยอม เธอจำต้องตามใจ และสุดท้ายก็ได้รับคำตำหนิ ถึงกระนั้นก็ทำเอาความมั่นใจมืออาชีพอย่างเธอลดลงไม่น้อย มือเรียวล้วงหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะพิมพ์ข้อความลงไปอย่างเหนื่อยหน่าย
“วันนี้ไม่กลับบ้านนะจะไปเที่ยวอยุธยา” ข้อความสั้นๆ ถูกส่งกลับไปแจ้งข่าวให้คนที่บ้านไม่ต้องรอ ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไปทันที อยากไปปลดอารมณ์แก้เซ็ง
มือเรียวจับพวงมาลัยรถหลวมๆ ก่อนจะฮัมเพลงตามวิทยุอย่างอารมณ์ดี คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากัน เธอไม่ได้ยินเพลงนี้มานานแล้ว นิ้วชี้จึงเลื่อนไปกดปรับเสียงให้ดังขึ้น
เพียงแค่คิดถึงจุดหมายปลายทางที่จะถึงก็ทำเอายาหยีอดอมยิ้มออกมาไม่ได้ เธอชอบไปอยุธยา ไม่รู้ทำไมเหมือนกันตั้งแต่เล็กๆ เวลาที่บ้านพามาเที่ยวอยุธยาเธอจะมีความสุขมาก พอโตขึ้นมาหน่อยเวลาเครียดหรือเหนื่อยจากเรื่องอะไรเธอก็จะตรงมายังเมืองเก่าแห่งนี้ทันที
รถยนต์ของยาหยีจอดสนิทที่หน้าโฮมสเตย์เจ้าประจำที่เธอชอบมา ที่นี่มีห้องพักไม่เยอะเงียบสงบและที่สำคัญมันตั้งอยู่ริมน้ำพอดี เธอชอบบรรยากาศแบบนี้มากทำให้เธอมักจะมาพักที่นี่เป็นประจำจนสนิทกับคุณป้าเจ้าของโฮมสเตย์แห่งนี้เป็นอย่างดี
“อ้าว หนูหยีมาแล้วเหรอลูก” ป้าแดงเจ้าของโฮมสเตย์เดินออกมารับ
“ป้าสวัสดีค่ะ” ยาหยียกมือไหว้ก่อนจะส่งกระเป๋าใบเล็กที่เธอมักมีติดรถเอาไว้ให้คนงานเอาเข้าไปเก็บที่ห้องพักห้องประจำของเธอ
“จะออกไปเลยเหรอลูก....แล้วจะกลับมากินข้าวเย็นไหม” ป้าแดงเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวเดินไปจับจักรยาน
“ไม่กินค่ะ เดี๋ยวหยีหากินก่อนเข้ามาเลย” ยาหยีบอกก่อนจะปั่นจักรยานออกไปทันที ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วถึงแม้จะยังมีแดดอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากมายนัก ยาหยีปั่นจักรยานไปตามทางเรื่อยๆ มองดูวิวข้างทางแวะถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ ก่อนจะพักที่ร้านกาแฟริมทางสั่งน้ำมาดื่ม และหยิบมือถือมาเปิดดูไปเรื่อยๆ ก่อนจะพบว่ามีคนตั้งโพสต์ในกลุ่มเฟซบุ๊คถึงวัดแห่งหนึ่งในอยุธยา ‘วัดพระงาม’ ภาพของซุ้มประตูที่ก่อด้วยอิฐเก่าแก่ ถูกโอบกอดด้วยรากของต้นโพธิ์ใหญ่นั้นทำเอายาหยีมองอย่างไม่วางตา สวยจัง เธอคิดในใจก่อนจะมองนาฬิกา และตัดสินใจปั่นจักรยานไปยังวัดพระงามทันที
ทันทีที่จักรยานจอดที่หน้าวัดพระงามยาหยีก็ยิ้มออกมาอย่างสมใจ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงบ่งบอกว่าตอนนี้ยามเย็นเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว เธอจอดจักรยานเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไปในวัดอย่างตื่นเต้น ถึงแม้เธอจะมาอยุธยาบ่อยๆ แต่ยาหยีกลับไม่ค่อยได้ออกเที่ยวที่ไหนมากนักหญิงสาวมักมานอนพักมองแม่น้ำเพื่อชาร์จพลังมากกว่า วันนี้ที่ตัดสินใจปั่นจักรยานออกมาถือว่าคิดถูก เพราะเธอได้มาเห็นสถานที่สวยงามแบบนี้
ยาหยีเดินเล่นและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าสิ่งที่ผู้คนเรียกว่า ประตูแห่งกาลเวลา ยาหยียิ้มออกมาก่อนจะยกมือถือขึ้นถ่ายภาพไว้ทันที ประตูวัดเก่าแก่โบราณที่ถูกรากของต้นโพธิ์พันรอบเอาไว้ราวกับว่าหากใครก้าวผ่านประตูนี้ไปจะหลุดไปยังอดีตได้ไม่ยากนัก ยาหยีก้าวขาเข้าไปใกล้ก่อนจะชะงักเมื่อเธอได้ยินเสียงแปลกๆ
“เสียงม้าที่ไหนกัน” หญิงสาวพึมพำก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวเองเพราะเมื่อสักครู่เธอได้ยินเหมือนเสียงม้าร้องอยู่ใกล้ๆ และตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มมากขึ้น จนเธอไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นเพราะเวลาเย็นหรือฝนจะตกกันแน่
ยาหยียักไหล่ก่อนจะเลิกใส่ใจเสียงม้าปริศนาสงสัยเธอจะหูฟาดไปเอง หญิงสาวยกกล้องขึ้นเซลฟี่ตัวเองกับบานประตูแห่งกาลเวลาอีกครั้ง ก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ไปเรื่อยๆ เพื่อหวังได้ภาพสวยสมใจ ขาเรียวก้าวเข้าใกล้บานประตูทั้งที่สายตาก็ยังจดจ่ออยู่กับกล้องในมือถือ ปากเรียวแย้มยิ้มไปมานิ้วเรียวยังคงกดภาพซ้ำๆ และทันทีที่เรียวขาก้าวผ่านบานประตูแห่งกาลเวลานั้น ท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็ผ่าเปรี้ยงลงมาทันที
“กรี๊ด!” ยาหยีสะดุ้งสุดตัวขาของเธอสะดุดกับรากของต้นโพธิ์ก่อนจะเสียหลักหงายหลังล้มผ่านบานประตูลงไปอย่างแรง
“โอ๊ย...ฟ้าบ้าจะมาผ่าอะไรตอนนี้นะ” ยาหยีบ่นพึมพำก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้าและก้นไม่น้อย แต่ยังไม่ทันได้ตั้งสติเธอก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เอ็งมานั่งทำอะไรตรงนี้” สรรพนามแปลกหูทำเอาคนฟังโมโหไม่น้อย หญิงสาวหันไปมองเจ้าของเสียงทันที
“เรียกใครว่าเอ็ง” หญิงสาวสวนกลับทันที ก่อนจะขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำแดด แถมยังแต่งตัวประหลาด สงสัยมาถ่ายละครสินะ
“นี่คุณมาถ่ายละครเหรอ” ยาหยีถามออกไปก่อนจะชะงักเมื่อขาข้างที่สะดุดเจ็บจี๊ดขึ้นมา ขาแพลงแน่ๆ เลย เธอคิดในใจ
“พูดไม่รู้ความ แล้วทำไมยังไม่ลุกอีกนั่งเกะกะเดี๋ยวม้าก็เตะหัวกระเด็นดอก” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยออกมาอีกรอบคราวนี้ยาหยีหันไปเห็นม้าตัวใหญ่ที่ชายหนุ่มคนนี้จูงมาแล้วก็ต้องขยับหนี แต่ความเจ็บก็ทำเอาเธอร้องออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“โอ๊ย!”
“ขาเจ็บรึ” ยาหยีรู้สึกว่าเสียงของเขาดูอ่อนลงถึงแม้จะยังเจือความหงุดหงิดอยู่บ้างก็ตาม ยาหยีพยักหน้าก่อนจะสะดุ้งเมื่อชายตรงหน้าก้มลงมาจับข้อเท้าของเธอพลางบิดไปมา
