บทที่ 9 (2.2) เป็นผู้ใดที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้กันเล่า/บุกห้องยามค่ำคืน
ว่านฟู่เฉิงขมวดคิ้วฉับเมื่อได้ยิน เขาขยับเก้าอี้รถเข็นกลับไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง คนผู้นี้ทั้งที่เข้าใจสิ่งที่เขากล่าวกลับยังตีสองหน้า โบ้ยไปทางอื่น และก็ไม่ใช่ว่าเขาขยันจนดึกดื่นเสียหน่อย แต่เพราะวันนี้ทั้งวันไม่มีสมาธิทำงานเอาแต่นึกถึงผลซานจาสีแดงเคลือบน้ำตาลนั้นต่างหาก!
ใช่...นึกถึงผลไม้สีแดง มิใช่ริมฝีปากของอีกคนในห้อง!
ตอนนี้พอได้หวนนึกถึงผลไม้เคลือบน้ำตาลที่ส่งเสียงน่าหนวกหูก็เผลอจ้องมองไปที่ริมฝีปากสีชมพูจางของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
ว่านฟู่เฉิงเหม่อลอยไปชั่วขณะก่อนจะรั้งสติกลับมาได้ทัน พอพินิจใบหน้าของกู่ซิงอีที่กำลังมองไปทางอื่นอยู่ก็ลอบสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพราะกลัวจะถูกจับได้ว่าตนจ้องมองเจ้าตัวมากเกินไป
เกิดมายี่สิบสี่ปีเขาเพิ่งเคยนึกอิจฉาใบหน้าของผู้อื่นก็ตอนนี้เอง
แสงเทียนวูบไหวในห้องสาดส่องใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่ายให้เด่นชัด หากกล่าวว่าคนในห้องของเขาผู้นี้คือสตรีก็ไม่มีใครกล้าเถียง แต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่ก็ไม่มีใครมิรู้ว่าเป็นบุรุษ แถมคนผู้นี้เคยอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนรถเข็นได้อย่างง่ายดายราวกับไม่เปลืองแรงเลยสักนิด เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษเพียงแค่ในใจบางส่วนที่ยังขัดแย้งอยู่บ้าง
คนเราไม่ควรมองแค่หน้าตาจริง ๆ เจ้าคนเสเพลผู้นี้หน้าหวานปานสตรีแต่กลับแข็งแรงยิ่งนัก
แม้นหากกล่าวกันตามตรงถ้าว่านฟู่เฉิงยืนเต็มความสูงได้ก็คงจะสูงกว่าจอมเสเพลเกือบหนึ่งฝ่ามือ ไหล่ของตนก็กว้างกว่า แต่อีกฝ่ายคล้ายมีพลังมากล้นใช้เป็นร้อยวันก็ไม่มีวันหมดอยู่ในร่างก็มิปาน
ดวงตาที่โตกว่าบุรุษทั่วไปยามถูกแสงเทียนส่องกระทบก็เปล่งประกายระยิบระยับทดแทนแสงดาวที่วันนี้ว่านฟู่เฉิงไม่ได้ออกไปมองด้วยตาของตนเอง ชวนให้รู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดจะไม่ให้เขาที่พิการมานานไม่รู้สึกอิจฉาก็คงเป็นไปได้ยาก ว่านฟู่เฉิงคิดปลอบใจเช่นนั้นเพื่อเข้าข้างตนเอง
“หากเจ้ายังไม่จากไป ข้าจะเรียกทางการมาจับเจ้าเสีย” เขาทำทีไม่สนใจเจ้าคนชุดฟ้า ขยับมือไปหยิบพู่กันมาถือไว้ แต่กลับไม่รู้ว่าสมาธิของตนเหือดแห้งไปไหนเสียหมด หยิบพู่กันมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องเขียนสิ่งใด
“คุณชายว่าน ถ้าหากท่านจะแจ้งทางการมาจับข้าก็คงเรียกมานานแล้วกระมัง อีกอย่างท่านรักหน้ารักตาเสียขนาดนั้น หากคนด้านนอกได้รู้ว่าคุณชายว่านปล่อยให้โจรผู้หนึ่งเข้าออกจวนเป็นว่าเล่นอยู่หลายวันจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน”
ความจริงเรื่องนี้ควรเป็นกู่ซิงอีที่ละอายแต่เขากับกลับดำเป็นขาวได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย แถมยังพูดแนะนำไปด้วยว่าคนที่เสียหายคงเป็นคุณชายว่านที่จะต้องตกอยู่ในวงสนทนาของชาวบ้านไปอีกพักใหญ่ คนคงพูดกันไปทั่วว่าคนร่ำรวยและชาญฉลาดอย่างคุณชายว่านกลับถูกคนไร้หัวนอนปลายเท้าบุกจวนอยู่ทุกวี่วัน
ภายหลังต่อจากนี้กลุ่มคนที่เป็นโจรจริง ๆ คงได้แห่กันมาปล้นชิงเพราะคิดว่าคุณชายว่านไม่มีความสามารถในการจัดสรรคนให้มาตรวจตราจวนของตนเองเป็นแน่ เรื่องนี้ผิดที่คุณชายว่านไม่แจ้งทางการตั้งแต่แรกเองจะมาโทษเขาก็มิได้
ครั้งนี้กู่ซิงอีจึงชนะไปได้หนึ่งกระดาน!
“โจร?” ว่านฟู่เฉิงกลับสะดุดคำนี้แทน
“ฮี่” กู่ซิงอีหัวเราะแห้งก่อนจะหยิบห่อขนมในอกเสื้อออกมากิน เป็นขนมที่เขาเพิ่งไปขโมยมาจากในห้องครัวของจวนตระกูลว่านเมื่อครู่ก่อนจะมาที่ห้องของคุณชายว่านเพราะรออยู่นอกจวนนานเกินไปจนรู้สึกหิวขึ้นมา โชคดีนักที่ท่านน้าคนครัวมักจะเผื่ออาหารไว้ในครัวตลอด เขาจึงได้ขนมมากินหลายชิ้น
“เจ้า!” ว่านฟู่เฉิงกัดฟันแน่น จะด่าก็ไม่กล้าด่า เพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าคนแบบนี้ จึงได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ
กู่ซิงอีกินขนมไปหนึ่งคำเสร็จก็เก็บที่เหลือเข้าไปคืนในอกเสื้อ ก่อนจะร้อง ‘โอ๊ะ’ หนึ่งทีเหมือนนึกอะไรได้ “ข้าลืมแนะนำตัวไปเลย ข้าน้อยมีนามว่า กู่ซิงอี”
“ไม่ได้อยากรู้!” เมื่อวานตอนดึกหลี่เซียวคล้ายอยากถามเขาว่าคนที่ปีนกำแพงไปเป็นใคร เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเพราะไม่รู้จักชื่อ จึงตอบว่า ‘แค่คนผ่านทาง’ ออกไปแทน และรู้ได้ทันทีว่าหลี่เซียวจำบ่าวชายที่เพิ่งลาออกไปซึ่งเขาเคยถามชื่อกับตนไม่ได้ ว่านฟู่เฉิงก็ปล่อยผ่านเรื่องนั้นไปไม่อยากอธิบายให้มากความด้วยกลัวหลี่เซียวจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
แต่ในตอนเช้าวันนี้หลี่เซียวก็ถามด้วยความอยากรู้อีกว่าเขาไปสนิทกับคนผู้นี้ได้อย่างไร และถามว่าคนผู้นี้ชื่ออะไร เขาก็ตอบส่งเดชไปว่าไม่รู้อีกรอบ
ครั้นยามนี้พอได้ยินจอมเสเพลแนะนำตัวเขาก็ทำเป็นหูทวนลมแต่กลับจำนามเมื่อครู่ที่เอ่ยออกมาได้ไปเสียแล้ว
กู่ซิงอีเห็นคุณชายว่านดูอารมณ์เสียแต่เขากลับหลุดยิ้มออกมาแทน คนผู้หนึ่งหงุดหงิดใส่ผู้อื่นยังน่ามองยิ่งนัก! น่าแปลกที่คุณชายรูปงามผู้นี้ครองตัวอยู่ผู้เดียวมานานหลายปี
ผ่านไปสักพักว่านฟู่เฉิงเห็นคนข้างโต๊ะไม่ขยับไปไหน แถมไม่พูดอะไรเขาก็เงยหน้าขึ้นไปมอง พบว่าดวงตาคู่สวยของกู่ซิงอีกำลังมองบันทึกที่เขาเปิดค้างไว้ด้วยท่าทางครุ่นคิด และไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังถูกเขามองอยู่ กระทั่งอีกชั่วอึดใจต่อมาถึงหันมาสบตากับเขาเข้าแล้วสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ราวกับเมื่อครู่เจ้าตัวได้หนีไปท่องแดนมายามา
“มองพอแล้วหรือยัง จะล้วงความลับเอาไปขายหรือไร” ว่านฟู่เฉิงทำทีปิดสมุดตรงหน้า คล้ายกลัวความลับรั่วไหลแต่เมื่อครู่กลับปล่อยให้อีกฝ่ายจ้องมองอยู่นาน
“ก็แค่คิดว่าน่าจะคำนวนผิด” กู่ซิงอีตอบเสียงเรียบ คราวนี้ดูจริงจังเล็กน้อย รอยยิ้มบาง ๆ ที่ปรากฏอยู่เสมอกลับดูบางเบาลงไปกว่าเดิม ในดวงตาก็มีความฉงนฉายชัด ราวกับไตร่ตรองมาแล้วว่าต้องบอกให้ได้มิเช่นนั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับ
“...” ว่านฟู่เฉิงก่อนหน้านี้เพิ่งเปิดสมุดเล่มนี้กางออกมา แต่ยังไม่ทันได้มองด้วยซ้ำเพราะมีคนมาเคาะหน้าต่างเสียก่อนเขาจึงถูกเบี่ยงความสนใจไป พอกู่ซิงอีกล่าวเช่นนั้นจึงดึงสมุดกลับมาเปิดออกดู และพอไล่สายตาดูก็พบว่ามีสิ่งผิดปกติจริง ๆ มือเรียวยาวดีดลูกคิดคำนวณอยู่สักพักจึงแก้ไขมันใหม่ในบางจุดที่ผิดไป ครั้นเมื่อทำเสร็จแล้วก็เก็บแยกไว้อีกทาง
พอหันไปมองข้างกายก็กลับพบว่ากู่ซิงอีหยิบสมุดบัญชีอีกเล่มไปอ่านตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ใบหน้าที่อาบย้อมด้วยแสงสีส้มซึ่งกำลังวูบไหวก็ดูเคร่งขรึมขึ้นจนว่านฟู่เฉิงรู้สึกเหมือนได้เจอกู่ซิงอีในคราแรกก็ไม่ปาน แววตาเฉยชา ใบหน้าปราศจากความรู้สึก อีกทั้งยังดูเย่อหยิ่งแต่กลับพาให้ผู้คนเกิดความสนใจ
วันนี้ทั้งวันว่านฟู่เฉิงไม่มีสมาธิเลยตั้งแต่เช้า งานจึงกองสุมมาจนถึงตอนนี้ และพอโจรถ่อยผู้นี้มาวุ่นวายในห้องก็คิดว่าวันนี้ตนคงไม่ได้งานอีกแน่ แต่ยามนี้กลับพบว่าตนเองมีสมาธิเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แถมยังมีคนช่วยตรวจงานให้ก่อนหนึ่งรอบ
ใครจะไปคิดว่ากู่ซิงอีที่มีนิสัยติดเล่นตามตอแยเขามานานกลับคล้ายผู้มากความรู้คนหนึ่งในอาภรณ์เก่าโทรม คล้ายบัณฑิตที่สอบได้ที่หนึ่งแล้วหนีหายเข้าป่าไปบำเพ็ญเพียร แล้วเขาที่เดินหลงป่ามาพร้อมสมุดบัญชีกองโตก็ได้มาพบกู่ซิงอีเข้าพอดี
ดวงตากลมของอีกฝ่ายไล่กวาดมองขึ้นลงทีละตัวอักษรอย่างตั้งใจ มือก็เปิดหน้ากระดาษพลิกไปด้วยระหว่างนั้น แถมไม่ใช้ลูกคิดด้วยซ้ำ
ว่านฟู่เฉิงเริ่มแปลกใจ โจรที่แอบมาบ้านผู้อื่นแถมมีกลิ่นสุราจาง ๆ ติดตัวมาตลอดมิใช่พวกเมาหยำเปเสเพลไปวัน ๆ หรือไร ทำไมแค่มองกระดาษสองหน้าที่เปิดค้างไว้เมื่อครู่ก็บอกว่าผิดปกติได้แล้ว
ด้านกู่ซิงอีไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกมองอยู่ เขากำลังจดจ่ออยู่กับความคิดของตน นิ้วเรียวพลิกหน้ากระดาษแผ่นสุดท้ายเสร็จก็วางสมุดบัญชีที่คล้ายว่าจะเป็นของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งลงไปบนที่ว่างบนโต๊ะก่อนจะหยิบอีกเล่มมาเปิดดู
ในตอนนี้มือหนึ่งถือสมุด สองตากวาดมอง ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ไม่มีอะไรทำเพราะแค่รอพลิกหน้ากระดาษอย่างเดียวจึงหาอะไรแถวนั้นทำไปด้วยระหว่างอ่านสิ่งที่อยู่ในมือของตน โดยไม่รู้ตัวเขาเอื้อมมือไปหยิบแท่งหมึกมาฝนเล่น พอไล่สายตาอ่านจบทั้งสองหน้าแล้วจึงละมือมาพลิกหน้ากระดาษ ทำแบบนั้นอยู่ซ้ำ ๆ ไม่สนใจเจ้าของห้องเลยสักนิด หลงลืมสิ่งที่ตนตั้งใจมาทำตั้งแต่แรกไปจนสิ้น
ส่วนว่านฟู่เฉิงคราแรกเอาแต่มองการกระทำแปลกประหลาดของกู่ซิงอีด้วยความมึนงง แต่พอสมุดบัญชีเล่มที่สามถูกกู่ซิงอีตรวจไปแล้วรอบหนึ่งถูกวางลงมาทับอีกเล่มที่ดูไปก่อนหน้านี้เขาจึงเริ่มลงมือทำงานบ้าง
มือเรียวยาวดั่งกิ่งไผ่ดีดลูกคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วนอีกรอบ แม้กู่ซิงอีไม่ได้กล่าวว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติแต่เขาก็ไม่วางใจอยู่ดี นี่เป็นนิสัยเดิมที่แก้ไม่หายมานาน ไม่ว่าสิ่งใดว่านฟู่เฉิงก็ต้องตรวจทานด้วยตนเองถึงสองรอบอยู่เสมอ แต่เพราะมีคนข้างกายมาช่วยหรืออย่างไรไม่รู้ถึงทำให้เขาวางใจลงไปได้บ้าง มิเกิดความรู้สึกที่ว่าหากไม่ตรวจซ้ำอีกรอบก็จะนอนคิดถึงความสะเพร่าของตนไปทั้งคืนทิ้งไปได้เสียที การทำงานในครั้งนี้เลยตรวจซ้ำเพียงแค่รอบเดียวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
งานบนโต๊ะจากที่ควรใช้เวลาเกือบสองชั่วยามก็ดูเหมือนจะเสร็จเร็วกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง ยามนี้บนโต๊ะทำงานก็เหลือสมุดเพียงไม่กี่เล่มแล้ว
ในห้องไร้การสนทนา เริ่มตกอยู่ในภวังค์ของความสงบอย่างที่ว่านฟู่เฉิงพบเจออยู่ทุกวัน
กู่ซิงอีเองก็มิได้หว่านล้อมเรื่องที่ตนถูกไหว้วานมา เอาแต่หยิบของผู้อื่นมาดูโดยไม่ขออนุญาต ว่านฟู่เฉิงเดิมก็เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว จึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเช่นกัน ถึงแม้จะไร้เสียงคนพูดคุยกันแต่ในห้องก็ไม่ได้เงียบเหงาจนวังเวง เพราะมีทั้งเสียงลมที่พัดใบไม้ดังอยู่ด้านนอกลอยมาเป็นระลอกให้ได้ยินยล เสียงจิ้งหรีดดังมาจากที่ไกล ๆ เสียงของลูกคิดที่ทำจากไม้เกลี้ยงเกลากระทบกันแผ่วเบา เสียงของแท่งหมึกที่ถูกฝนเป็นระยะ หรือเสียงของการพลิกหน้ากระดาษที่ดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันจากคนสองคน
คนหนึ่งยืนด้านข้าง อีกคนนั่งตัวตรง แสงไฟจากเปลวเทียนที่วูบไหวไปมาในห้องก็สาดส่องให้เห็นเงาร่างของคนทั้งสองที่ทาบทับกันอยู่บางส่วน ทั้งดูแตกต่างและดูกลมกลืนในเวลาเดียวกัน
......
เมื่อก่อนในวัยเด็กคนเรามักชอบความรักที่หวือหวา แต่พอโตมา การแค่มีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ ต่อให้เขาพูดไม่ได้ หรือ มองไม่เห็น ต่อให้เขาจะเป็นยังไงเราก็อุ่นใจอยู่ดี ( เหมือนแมวเราเอง 555 อยู่เฉยๆ แค่หันไปมองเราก็สุขใจ สื่อสารกันไม่ได้ พูดคุยไม่รู้เรื่อง แต่เวลาไหนที่เราเหนื่อยเขาจะมานอนข้างๆ เสมอ แค่นั้นก็เป็นอะไรที่มากพอแล้วจริง ๆ)
ขอให้วันนี้และวันต่อไปเป็นวันที่ดีของคุณนักอ่านนะคะ
