บทที่ 10 (1.2) สองเคียงคู่ ผสานกลมกลืน
ว่านฟู่เฉิงเห็นกู่ซิงอีไม่กล่าวอะไรก็คิดว่าสมุดเล่มต่อไปไม่มีปัญหา แต่เมื่อเปิดดูกลับพบว่ามีหน้าหนึ่งถูกพับมุมไว้ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามันถูกพับไว้ด้วยความผิดพลาดจากคนของเขาหรือเพราะความตั้งใจของกู่ซิงอีกันแน่
หลังจากได้ตรวจดูแล้ว มุมปากที่มักจะกดลงเล็กน้อยก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เป็นเพียงการกระทำเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วก็จางหายไป
ไม่คิดว่าคนที่พูดมากผู้นี้จะรู้เวล่ำเวลา เห็นเขามีสมาธิจดจ่ออยู่ก็ไม่รบกวน และทั้งที่เจออะไรผิดแผกไปก็ไม่ทักท้วงเสียงดังให้วุ่นวายหรือรำคาญใจ ทำเพียงใช้การพับกระดาษเป็นสัญลักษณ์ไว้ให้เท่านั้น
หวนนึกถึงหลายวันก่อนที่เขาอยากได้กู่ซิงอีมาทำงานให้ข้างกายเพราะพบว่าคนผู้นี้คล้ายไม่ได้มองว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น แม้จะยื่นมือมาอุ้มเขาขึ้นจากพื้นแต่ก็แทบจะไม่มองมาที่เขาเลย ไม่มีความเวทนาหรือสงสารเจือปนอยู่ในความรู้สึก ครานั้นอาจเป็นครั้งแรกที่ว่านฟู่เฉิงเดาถูกว่ากู่ซิงอีสามารถทำงานข้างกายตนได้ และเมื่อรวมเข้ากับตอนนี้ก็ทำได้ดีเกินคาด สามารถทำงานเข้ากันโดยที่ไม่ต้องบอกหรือสอนสิ่งใด เพียงยืนอยู่ข้างกัน ทำส่วนที่ควรทำ เวลางานจากเดิมที่เขาต้องทำอีกนานก็เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง
ช่วงเวลานี้ว่านฟู่เฉิงคาดเดาไปหลายอย่าง เช่นว่าต่อจากนี้หลังทุกอย่างถูกจัดการหมดแล้วกู่ซิงอีจะกล่าวต่อรองอะไรอีกหรือไม่
แต่เอาเข้าจริงเมื่อเวลานั้นมาถึงกลับพบว่าโจรถ่อยแซ่กู่แค่ขอตัวจากไปเงียบ ๆ ปีนออกจากทางหน้าต่างหายไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งไว้เพียงคำกล่าวว่า ‘ฝันดี’ และรอยยิ้มร่าเริงทั้งที่ดวงตาคล้ายจะปิดอยู่รอมร่อ
ว่านฟู่เฉิงคิดว่าหากกู่ซิงอีมีความเจ้าเล่ห์หรือโลภมากอีกหน่อย คงเอาเรื่องที่เจ้าตัวช่วยเขาทำงานเมื่อครู่มาบอกให้เขาคิดทบทวนเรื่องของคุณหนูรองเซี่ยแน่ ๆ แต่ทุกอย่างกลับผิดคาดไปเสียหมด คล้ายว่าที่ช่วยทำก็เพียงแค่อยากช่วยมิได้คิดเป็นอื่น
หลายวันก่อนเขาลองไตร่ตรองเรื่องประหลาดที่ยอมปล่อยผ่านไปหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ตระหนักได้ว่ากู่ซิงอีอาจมีส่วนเกี่ยวข้องและเมื่อวานเจ้าตัวก็ยอมรับออกมาโดยตรง แต่เมื่อพิจารณาความสามารถเมื่อครู่ของกู่ซิงอีแล้วแสดงให้เห็นว่าแผนการที่กู่ซิงอีวางไว้ก่อนหน้านี้เหมือนจะยั้งมือไว้ไมตรีอยู่บ้าง เพราะหาได้ยากที่คนทั่วไปสามารถมองบัญชีผ่านตาและพบความผิดปกติได้ในเวลาอันสั้น กู่ซิงอีย่อมไม่ใช่คนไร้ความคิดความอ่าน เป็นคนค่อนข้างรอบคอบและมีความรู้ ทว่ากลับไม่กระทำการอุกอาจเหมือนอย่างที่ชอบย่องเข้าจวนผู้อื่นยามดึกเช่นนี้ แผนการที่ผ่านมาจึงถูกเขาจัดการไปได้หลายครั้ง ว่านฟู่เฉิงจึงไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณหรือหัวเราะดี
หึ เป็นคนที่ช่างวางแผนเก่งจนเขาเกือบจับไม่ได้ แต่กลับไม่ลงมือทำให้สุด
“มีมโนธรรมอย่างนั้นหรือ...” ว่านฟู่เฉิงพึมพำแผ่วเบา มองต้นไม้ที่ถูกแสงจากโคมเทียนสาดส่องอยู่ด้านนอกหน้าต่าง
สำหรับตัวว่านฟู่เฉิงแล้ว คำว่า ‘มโนธรรม’ นี้เขาค่อนข้างมีเพียงน้อยนิด ตัวเขาเป็นพ่อค้าอย่างไรเสียก็ต้องเห็นกำไรและผลประโยชน์เป็นหลัก ส่วนวิธีการย่อมไม่สนว่าจะดีจะเลวหรือย่ำแย่เพียงใด ขอเพียงปลายทางเป็นไปตามที่ต้องการก็ถือว่าใช้ได้
คนอย่างกู่ซิงอีจะใช้คำว่าขี้ขลาดก็ดูจะไม่เหมาะ ใจอ่อนก็ใช้ไม่ได้อีก อาจเพราะมีจุดยืนของตนเอง มีความพยายามแต่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น หาไม่แล้วคงวางแผนขั้นเด็ดขาดกว่านี้ ถ้าหากโจรแซ่กู่คิดวางแผนแล้วไม่สนสี่สนแปดมากกว่านี้เขาคงรับมือได้ยากแน่ ๆ เป็นคนที่ไม่ควรเป็นศัตรูด้วยอย่างแท้จริง
.............
วันต่อมาว่านฟู่เฉิงทำงานที่จวนว่านทั้งวันกลับไม่เห็นคนว่างงานคนเดิมมาหาตน ในใจไม่อาจยอมรับว่ากำลังรอคอย
จนกระทั่งความมืดมาเยือน
ดึกดื่นคืนนั้นกู่ซิงอีก็ปีนกำแพงลงมาหาเขา
“คุณชายว่านเหตุใดถึงลดเวรยามลงแล้วเล่า” กู่ซิงอีก้าวฉับเพียงไม่กี่ทีก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าว่านฟู่เฉิงได้แล้ว เขาเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม ไม่คิดว่าจะเจอคุณชายว่านมานั่งกลางลานว่างเพื่อชมท้องฟ้าอย่างเคย คราแรกนึกว่าจะหมกตัวทำงานอยู่ในห้องเหมือนเมื่อวานเสียอีก
ว่านฟู่เฉิงมองกู่ซิงอีแต่ไม่ได้ตอบคำ เขาคงไม่มีทางบอกแน่ว่าที่ตนเพิ่มคนตรวจเวรขึ้นมาก็เพราะเจ้าตัว แต่เจ้าโจรถ่อยที่คิดบัญชีเก่งผู้นี้ก็สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดี เช่นนั้นเขาจะเปลืองกำลังคนไปทำไมกัน
“ได้พบคุณชายว่านมานั่งอยู่ตรงนี้ก็แอบไปห้องครัวไม่ได้แล้ว...” กู่ซิงอีพึมพำเสียงเบาทำปากเบะเหมือนเด็กน้อยไม่ได้ขนมกิน
“ต่อให้ข้าห้ามเจ้าก็คงไป แต่เสียใจด้วย วันนี้ในห้องครัวไม่มีของกินแล้ว”
กู่ซิงอีพอได้ยินก็ทำปากมุบมิบอย่างน้อยใจ ร่ำรวยขนาดนี้ยังจะมาหวงขนมอีก แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรได้ สีหน้าน้อยใจเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติได้ทันที “เช่นนั้นวันนี้คุณชายว่านคงว่างแล้วกระมัง งานคงไม่ล้นมือเหมือนเคยแล้ว”
ว่านฟู่เฉิงไม่ตอบคำและไม่พยักหน้า
แต่กู่ซิงอีย่อมเข้าใจความหมาย เขาจึงกล่าวเรื่องสหายของตนขึ้นมาอีกครั้ง
“หึ เจ้าขยันมาหว่านล้อมข้าทุกวันขนาดนี้ ไยตอนเช้าเจ้าไม่เทียวมาหาข้าเหมือนเมื่อวานกันเล่า บางทีข้าอาจจะใจอ่อนขึ้นมาก็ได้” เขาละอยากรู้นักว่าอีกฝ่ายจะตอบอย่างไร หากบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมาใหม่ในตอนเช้าแน่นอน ก็คงคิดได้ทางเดียวว่าเป็นคนว่างงาน
แต่พอดูจากที่เสื้อตัวนอกของเจ้าโจรถ่อยแล้วก็พบว่าตรงบริเวณไหล่มีสีจางกว่าส่วนอื่นดูคล้ายคนงานแบกกระสอบข้าวในตลาด แต่คนงานเหล่านั้นมักจะสวมเนื้อผ้าที่หยาบกว่านี้และเป็นสีเข้มอีกทั้งก็ไม่สะอาดสะอ้านตลอดเวลาแบบกู่ซิงอี แถมเนื้อตัวของเจ้าจอมเสเพลก็ขาวสะอาดหอมกลิ่นสุราเจือจางไม่เหมือนคนใช้แรงงานทั่วไป ว่านฟู่เฉิงจึงสรุปไม่ได้ว่าคนผู้นี้ว่างงานจริง ๆ หรือเปล่า
“เกรงว่าจะรบกวนคุณชายว่านมากเกินไป” กู่ซิงอีตอบตามจริง
ว่านฟู่เฉิงหัวเราะ ‘เหอะ’ ออกมาหนึ่งที มาก่อกวนถึงจวนผู้อื่นทุกค่ำคืนแต่กลับกลัวจะรบกวนเขาในเวลาเช้า?
...จังหวะนั้นภาพการกัดถังหูลู่ก็หวนมาในความคิดอีกครั้ง ว่านฟู่เฉิงพลันตื่นตระหนกในความรู้สึก ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจที่ตนไปนึกอิจฉาริมฝีปากของผู้อื่นจนเอาภาพนั้นออกจากหัวไม่ได้ แต่ความหงุดหงิดนี้เจ้าตัวการกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ชวนเขาคุยเล่นเรื่องทั่วไปไม่หยุดหย่อน
กระทั่งสามวันให้หลัง เจ้าโจรถ่อยแซ่กู่ก็มาหาเขาทุกคืนไม่มีว่างเว้น
เมื่อวันก่อนเขานึกสนุกทิ้งงานไว้ไม่ยอมทำจนเสร็จ แล้วคืนนั้นก็นั่งรออยู่ในห้องของตน หยิบหนังสือที่หลี่เซียวซื้อมาให้นานแล้วแต่ไม่มีเวลาได้เปิดอ่านเสียทีขึ้นมาดูเพื่อฆ่าเวลารอใครบางคน
ครั้นพอกู่ซิงอีมาถึงเขาก็เปลี่ยนมานั่งทำงาน อีกฝ่ายไม่พูดเรื่องคุณหนูรองเซี่ยอย่างเคยอีกแต่กลับช่วยเขาทำงานด้วยความตั้งใจ เก้าอี้ตัวหนึ่งก็ถูกเจ้าตัวยกมานั่งอีกฝั่งของมุมโต๊ะข้าง ๆ เขา
ความจริงแล้วเก้าอี้ตัวนี้ไม่ใช่เก้าอี้ของชุดโต๊ะน้ำชาแต่เดิม ทว่าเป็นเขาที่สั่งให้หลี่เซียวเตรียมแยกไว้ให้ตั้งแต่เช้า แถมบอกให้วางไว้ไม่ห่างจากโต๊ะทำงานของเขามากนัก และกู่ซิงอีก็ไปหยิบมานั่งตามที่เขาคิดจริง ๆ
ส่วนวันนี้เองในห้องนอนที่ครึ่งหนึ่งถูกทำเป็นห้องทำงานของว่านฟู่เฉิงก็ยังคงจุดเทียนไว้สว่างไสว เก้าอี้ที่ถูกเพิ่มเข้ามาได้ไม่นานก็ยังคงอยู่ข้างโต๊ะทำงานเช่นเคยโดยมีเจ้าโจรถ่อยคนเดิมที่พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างคอยช่วยทำงานอยู่ข้าง ๆ กัน
ดูเอาเถิด คนจะมาหว่านล้อมผู้อื่นแต่พอเห็นเขางานยุ่งมากจำต้องมาช่วยงานก่อน สุดท้ายคำพูดที่ชอบกล่าวเป็นประจำก็ไม่ได้เอ่ยออกมาแม้ครึ่งคำ แถมยังทำงานจนดึกดื่นถึงขั้นนั่งสัปหงกอยู่ด้านข้างก็ไม่คิดจะกลับบ้านเสียที ขนาดเมื่อครู่ที่เจ้าตัวนั่งเท้าคางหลับไปแวบหนึ่งก็ถูกเขาใช้หมึกดำวาดวงกลมไปที่ดวงตาสองข้างก็ยังไม่ตื่น
ว่านฟู่เฉิงเม้มปากแน่น พยายามควบคุมเสียงหัวเราะที่ดังก้องอยู่ในใจไม่ให้เล็ดลอดออกมาในความเป็นจริง
คราแรกที่วาดไปแล้วก็ตกใจจนชะงัก ไม่เคยคิดว่าตนจะมาแกล้งผู้อื่นแบบนี้ด้วย นอกจากจะตกใจแล้วก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่พอมองหน้ากู่ซิงอีแล้วความสงสัยเหล่านั้นก็จางหายไปเงียบ ๆ กระทั่งความรู้สึกผิดในใจก็ไม่มีเลยสักนิด เปลี่ยนเป็นสีหน้าเริ่มแดงขึ้นมาเพราะพยายามกลั้นยิ้มไว้สุดฤทธิ์แทน
..........
