บท
ตั้งค่า

บทที่ 8 (2.2) แค่คนผ่านทาง

ท่าทางการเดินไต่ตัวบนกำแพงจวนก็ดูคล่องแคล่วยิ่งนัก หลอมรวมกับยามนั้นมีสายลมของสารทฤดูพัดผ่านมาพอดี ชายเสื้อสะบัดพลิ้วไหวชวนให้คิดว่านี่อาจเป็นปีศาจตนใดมาล่อลวงผู้คนเข้าแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับเขาเป็นผู้เมามายเสียเองจนเห็นภาพหลอน ทว่าเสียงเท้าหนัก ๆ ที่กระโดดลงมาจากกำแพงของเจ้าตัวก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เป็นภาพที่เขาคิดไปเอง

รอยยิ้มที่แต่งแต้มไว้บนใบหน้าก็ดูต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง สรุปแล้วเมื่อวานหรือวันนี้กันแน่ที่เมามาย ว่านฟู่เฉิงจึงคิดว่าหรือไม่แน่วันนี้ก็คงเมาเหมือนเดิมนั่นแหละ ในใจพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

ตัวเขาเป็นคนจริงจังทำงานเป็นเวลาและไม่ชอบคนเหลาะแหละ คนที่กำลังเดินเข้ามาหาทำตัวราวกับคนว่างงาน ตั้งแต่ที่ได้สบตากันวันนั้นก็เจอคนผู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด วันนี้ก็โผล่มาอีกแล้ว แถมถ้าเมามาอีกจะคิดสิ่งใดได้นอกจากเป็นคนไม่เอาการเอางานผู้หนึ่งที่วัน ๆ คงเอาแต่สำมะเลเทเมาไปเรื่อยเปื่อย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ตัวของคนผู้นี้มักจะมีกลิ่นหอมของสุราติดมาด้วยตลอด

“วันนี้ไม่มีดวงจันทร์แล้ว...” กู่ซิงอีเงยหน้ามองท้องฟ้ามือผสานไว้ด้านหลังก่อนจะเดินมาหาคนที่นั่งอยู่ “คุณชายมาชมดาวหรือ”

“มิใช่เรื่องของเจ้า” ว่านฟู่เฉิงไม่สบอารมณ์กับรอยยิ้มที่ดูราวกับว่าไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนในใจของอีกฝ่าย จึงหันมองไปทางอื่น แถมน้ำเสียงก็เข้มขึ้นหลายเท่าตัว

“เอ๊...” กู่ซิงอีลากเสียงยาว โน้มตัวลงมาใกล้ว่านฟู่เฉิงอีกนิด “เช่นนั้นท่านคิดเรื่องเมื่อวานแล้วหรือยัง หากข้าได้คำตอบแล้วก็จะไม่มาวุ่นวายกับท่านอีก”

“...” คราวนี้ว่านฟู่เฉิงหันกลับมามองคนตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แถมยังไม่ชอบใจในคำพูดของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเกิดจากส่วนไหนในประโยคนั้นกันแน่

“เรื่องคุณหนูเซี่ยอย่างไรเล่า” กู่ซิงอีย้ำอีกครั้ง

ว่านฟู่เฉิงขยับมือออกมาจากใต้ผ้าคลุมที่ขา ในมือมีพัดที่ไม่ได้กางถือไว้อยู่ก่อนแล้วด้วย เขาใช้มันจิ้มไปที่หน้าผากของกู่ซิงอี ผลักอีกฝ่ายที่ยื่นหน้ามาใกล้ออกไปห่าง ๆ “ทำไมต้องคิด” พอกล่าวจบก็เพิ่งจะสังเกตว่ากลิ่นอายรอบตัวของคนตรงหน้าแม้จะยังเหมือนเดิมแต่ไม่ได้เข้มข้นแบบเมื่อวานแล้ว

วันนี้คงไม่ได้ดื่มมากระมัง?

กู่ซิงอีถอยตามแรงดัน ไม่รั้นจะมีเรื่องกับอีกฝ่าย “การแต่งงานกับคุณหนูรองเซี่ยมีผลประโยชน์มากขนาดนั้นเลย?”

“...” ว่านฟู่เฉิง

กู่ซิงอีพอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบเขาก็เริ่มหว่านล้อม “ท่านก็เห็นแล้วว่านางไม่มีความเป็นกุลสตรี เอ่อ...ข้าไม่ได้หมายถึงนิสัยที่ชอบตบตีผู้อื่น เรื่องนั้นคุณชายว่านคงมองออกว่านางแค่แกล้งทำ” กู่ซิงอีกลัวสหายดูไม่ดีต่อหน้าคนอื่นจำต้องอธิบายตามความจริง “แต่ไม่ว่าจะงานบ้าน หรือฝีมือ หรือกระทั่งการทำอาหารที่ไม่ได้ความล้วนเป็นเรื่องจริง! ขนมนั้นนางก็ตั้งใจทำอย่างมากมิได้แสร้งทำให้ไม่อร่อย แต่เป็นฝีมือปกติของนาง เช่นนั้นท่านจะรับไหวหรือ” ขนมในวันนั้นเขาเองก็ลองกลับไปชิมแล้ว พบว่ายังเหมือนเดิมจริง ๆ พอหวนนึกถึงก็แทบจะสำลักออกมา

“...” คราแรกว่านฟู่เฉิงก็คิดว่าขนมนั้นทำเพื่อแกล้งเขา ที่แท้ฝีมือของนางก็ไม่ได้เรื่องอยู่แล้วจริง ๆ

รสชาติมันช่าง...ทรมานลิ้นหรือเกิน

“สตรีเพียบพร้อมที่เหมาะกับคุณชายว่านมีอีกมาก เช่นคุณหนู...” กู่ซิงอีเริ่มกล่าวถึงนามของสตรีอีกหลายคนที่บ้านเป็นตระกูลพ่อค้าเหมือนกันกับตระกูลเซี่ย หรือไม่ก็เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ อีกทั้งยังชมว่าหน้าตางดงามอย่างไรบ้าง มีจุดเด่นด้านใด และกล่าวถึงเรื่องกิริยามารยาทที่ล้วนมีครบ เขาพูดอยู่นานสองนานพอเห็นอีกฝ่ายไม่ขัดเขาก็ยิ่งพูดไม่หยุด จนกระทั่งครบหมดทุกคนในเมืองแล้วจริง ๆ จึงได้หยุดลงในที่สุด

“เป็นนายทะเบียน?” ว่านฟู่เฉิงประชด แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉยดังเดิม อดทนฟังมาตั้งนานอยากรู้ว่าคนผู้นี้จะไปหยุดที่ใคร สรุปก็คือกล่าวได้ครบทุกคนที่เขาก็เคยดูรายชื่อมาแล้วเช่นกัน

ในตอนก่อนที่จะทำการตกลงกับตระกูลเซี่ยว่านฟู่เฉิงก็ดูรายชื่อสตรีทั่วเมืองจางมาสักพักแล้ว แต่สุดท้ายก็จิ้มมั่วไปที่รายชื่อบนกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะทำงานของตน เขามิได้คิดสิ่งใดมากนัก เป็นใครก็ได้แค่ลองดูก่อน ไม่ดีค่อยว่ากัน ครั้งแรกจึงมาตกที่ชื่อของคุณหนูรองตระกูลเซี่ยนามเซี่ยลู่หลิน และพอได้คุยกับเซี่ยหลี่จวินบิดาของคุณหนูรองเซี่ยก็ได้ข้อตกลงบางอย่างที่เข้าท่าจึงยอมเกี่ยวดองกันทันที

“ข้าดูเหมือนมีหน้าที่การงานที่ดีขนาดนั้นเลยหรือ” กู่ซิงอีกลับไม่คิดว่าอีกฝ่ายประชดกลับคิดว่าถามจริงจังเพราะเห็นหน้าตานิ่งเฉยเสียขนาดนั้น

ว่านฟู่เฉิงเดาะลิ้นหันหนีไปทางอื่นเป็นคำตอบ คนบ้าผู้นี้จะว่าความจำดีก็ความจำดี สามารถท่องชื่อแม่นางบ้านอื่นได้จนเกือบหมดแล้วกระมัง แต่อีกทางก็ช่างทึ่มทื่อเสียเต็มประดา เขาประชดแท้ ๆ กลับถามเขากลับอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มบนใบหน้าที่ประดับไว้ตลอดเวลานั้นก็ช่างเคืองลูกตาเหลือเกิน

“คุณชายว่านไม่ลองคิดดูอีกหน่อย สตรีนางอื่นก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ล้วนงดงามเหมือนดอกไม้แรกแย้ม งานบ้านงานเรือนไหนจะความสามารถทางบทกลอนล้วนเป็นกันถ้วนหน้า” คำนี้กู่ซิงอีกล่าวชัดถ้อยชัดคำคล้ายเชยชมคนที่เหลือว่าดีกว่าสหายของตนมากขนาดไหน

“เจ้าบอกว่าเจ้ากับคุณหนูรองเซี่ยมิใช่คนรัก แต่กลับมาหว่านล้อมข้าไม่หยุด” ว่านฟู่เฉิงหันกลับมาจ้องมองคนตรงหน้าอีกครั้ง “หรือแท้จริงแล้วเจ้าแอบมีใจให้นางเพียงข้างเดียวกันแน่”

กู่ซิงอีถึงขั้นผงะไปด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกโตขึ้นอีกเล็กน้อย “ข้ากับนางเป็นสหายกัน!” ยามพูดจบก็มีสายลมพัดเข้ามาอีกระลอกหนึ่ง เรือนผมที่มัดรวบสูงของกู่ซิงอีปลิวสะบัดเล็กน้อย เมื่อประกอบกับใบหน้ารูปงามไร้ที่ติซึ่งกำลังดูจริงจัง ภาพรอบกายจึงดูเหมือนเทพดาราเยือนโลกมนุษย์ ทำให้ผู้มองเผลอจ้องค้างไปชั่วขณะ

“อ๋อ...เป็นเช่นนั้นเอง” ว่านฟู่เฉิงที่เผลอมองอย่างลืมตัวก็รีบรั้งสติกลับมา ลากเสียงยาวคล้ายใส่ใจบ้างไม่ใส่ใจบ้างเพื่อกลบเกลื่อน

กู่ซิงอีแสร้งกระแอมไอเปลี่ยนอารมณ์ ตนมาหว่านล้อมย่อมต้องอ่อนน้อมไว้ก่อน “คุณชายว่าน นางไม่ได้ชอบท่าน จึงไม่คิดตบแต่งกับท่าน”

“ไม่ใช่เรื่องของข้านี่” ว่านฟู่เฉิงกล่าวเสียงเรียบ ความจริงแล้วเขาจะไม่สนใจคนบ้าผู้นี้ก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ตอบออกไปจนได้

“เอ๊ะ จะไม่ใช่เรื่องของท่านได้อย่างไร ก็ท่านเป็นคนสู่ขอนาง” กู่ซิงอีก็ว่าตนไม่ได้ดื่มสุรานะแต่กลับคล้ายคนเมาที่สับสนในสิ่งที่คุณชายว่านพูดเสียได้

“เช่นนั้นก็ให้คุณหนูรองเซี่ยบอกบิดานางเพื่อให้เขาส่งคนมาขอยกเลิกงานหมั้นเองเถอะ” ว่านฟู่เฉิงกระชับเสียงขึ้นเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าไยจึงมีความอดทนมากขนาดนี้ หากเป็นผู้อื่นถูกเขามองด้วยหางตาเพียงสองครั้งก็แทบจะวิ่งหนีหายลับสายตาไปแล้ว

“หากเรื่องง่ายดายถึงเพียงนั้น พวกข้าจะวางแผนมากมายเพื่อสิ่งใดกัน บิดานางน่ากลัวจะตายข้าเองยังเกือบถูกเขาสั่งคนมาสังหารด้วยซ้ำไป” ประโยคหลังกู่ซิงอีพึมพำอย่างน้อยใจ จะมีสหายรู้ใจทั้งทียังต้องหลบซ่อนแอบมาเล่นด้วยกัน แถมยังต้องมาคอยกังวลว่าจะถูกจับได้อีก

ว่านฟู่เฉิงได้ยินชัดเจนก็คิดว่าคงเป็นคนน่ากลัวจริง ๆ มิเช่นนั้นบุตรสาวของเซี่ยหลี่จวินคงกล้าเปิดอกคุยด้วยไปแล้ว แต่เขาที่เจอคนมาหลายรูปแบบแล้วถือว่าธรรมดาสำหรับตนมากนัก เซี่ยหลี่จวินสำหรับเขาแล้วรับมือด้วยไม่ยาก แต่แค่เขาไม่อยากทำก็เท่านั้นเอง

กู่ซิงอีไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดอีก เรื่องที่เตรียมมาล้วนพูดออกไปหมดแล้ว เลยขยับตัวไปยืนด้านข้างเก้าอี้รถเข็นของว่านฟู่เฉิง รั้งยืนตากลมอยู่ด้วยสักพักจึงจากไป

ก่อนหน้านี้เพียงนิด หลี่เซียวหยุดเท้ารออยู่ที่มุมไกล ๆ มาสักพักแล้ว ปกติเขามักจะปล่อยคุณชายให้ได้อยู่คนเดียวราวครึ่งชั่วยามเสมอมา วันนี้เองก็ยังคงเหมือนเดิม

แต่ครานี้คุณชายกลับไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างเคย มีใครบางคนยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วย หลี่เซียวถึงกับชะงักคิดว่าใครมาทำอะไรคุณชายหรือไม่ แต่กลับพบว่าทั้งสองคนคล้ายรู้จักกันอยู่แล้ว ทั้งที่ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันทว่าแผ่นหลังของทั้งสองราวกับกลมกลืนเข้าด้วยกันอย่างอธิบายได้ยาก

บุรุษผู้นั้นมัดผมรวบสูง ใบหน้าที่สามารถมองเห็นได้เพียงด้านข้างกลับน่ามองยิ่งนัก ขนาดเห็นไกล ๆ ยังพบว่าในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงสะท้อนของดวงดาว มีรอยยิ้มมุมปากบาง ๆ ประดับไว้บนใบหน้าเสมอ ท่าทางดูสง่าเหมือนบัณฑิตมากความรู้ แต่อาภรณ์สีฟ้าที่สวมใส่กลับเป็นเนื้อผ้าหยาบเล็กน้อยแถมเก่าจนเริ่มซีด แต่ในความเก่าก็ยังคงดูสะอาดตา ทำให้ไม่ขัดกับท่าทางสง่างามของเจ้าตัว

หลี่เซียวไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน คุณชายของเขาเองก็ไม่ใช่คนที่มีสหายเสียด้วย มักเก็บตัวทำอะไรเพียงคนเดียวเสมอ แล้วยิ่งกับคนที่ดูเหมือนจะมีสถานะต่างกันถึงขนาดนี้ก็ยิ่งไม่น่าจะรู้จักกันเข้าไปใหญ่

ภาพเบื้องหน้าประหนึ่งภาพวาดที่แต่งแต้มคนละสี ในความแตกต่างของทั้งสองคนราวกับมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่เขามองไม่เห็นแต่สามารถสัมผัสได้เชื่อมโยงคนทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างเลือนลาง

ครั้นพอหลี่เซียวเห็นคนผู้นั้นจากไปแล้วจึงเดินเข้ามาหาคุณชายของตนเอง

“คุณชาย” เขาเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา เห็นว่าคุณชายกำลังมองตามร่างที่กระโดดข้ามกำแพงไปก็ลังเลที่จะถาม “คนเมื่อครู่...” แม้รู้ว่าไม่ควรถามแต่เขาทำงานข้างกายคุณชายจำต้องรู้ที่มาของผู้คนรอบกายคุณชายไว้บ้างจึงเอ่ยออกไปแค่นั้นเพื่อรอคำตอบ

“แค่คนผ่านทางมา” ว่านฟู่เฉิงกล่าวเนิบช้า เขาเองก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร เพราะไม่เคยรู้ชื่อของคนบ้าที่เพิ่งปีนกำแพงจากไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel