บทที่ 8 (1.2) ตั้งใจหลอกผู้อื่น ไหงกลายเป็นตนเองที่ถูกจับได้
ระหว่างทางไปบ้านของตนจำต้องผ่านจวนตระกูลว่านก่อน
กู่ซิงอีพลันหยุดมองดูต้นพลับต้นเดิม ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน ยกสุรากระดกขึ้นจนหมดไหแล้วโยนไหสุราทิ้งไว้ที่พุ่มหญ้าแถวนั้น
ใบหน้าที่ถูกสีชมพูอ่อนจางเคลือบไว้หนึ่งชั้นก็กระตุกยิ้มขึ้นในความมืด ดวงตาเปล่งประกายกว่าเดิมเล็กน้อย นึกครึ้มใจหาทางปีนเข้าไปด้านในจวนของผู้อื่น
กาลก่อนเขาเคยแอบมาปีนกำแพงเพื่อตามดูว่านฟู่เฉิงก็จริงแต่ก็เข้าไปถึงด้านในไม่ได้ ทำได้แต่มองอยู่ข้างนอก ทว่าภายหลังจากที่ได้เข้าไปทำงานในจวนตระกูลว่านแล้วและทำหน้าที่เป็นคนเดินตรวจเวรมาก่อนย่อมรู้ว่ายามไหนที่จะหลบพ้นสายตาผู้คนในจวนได้ แถมจากที่ชอบปีนเข้าไปหาเซี่ยลู่หลินบ่อย ๆ ก็ทำเรื่องแบบนี้อย่างเคยชินจนกลายเป็นอาชีพไปเสียแล้ว ต่อให้เมาก็มิใช่เรื่องยากที่จะปีนเข้าไป
ใกล้กับห้องนอนของคุณชายว่านที่เป็นลานกว้างนอกจากต้นพลับที่มีลูกดกแล้วก็ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่กลางลานด้วย เป็นต้นไม้ที่ใบของมันยังเหลืออยู่มากพอให้เขาหลบซ่อนตัวได้พอดี
ครั้นพอเข้ามาในจวนได้กู่ซิงอีก็ปีนขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นด้วยความคล่องแคล่ว หวังคิดจะหลอกผีเจ้าของจวนเสียหน่อย อีกฝ่ายอาจจะตกใจจนจับไข้ก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นค่อยเอาเรื่องลี้ลับมาทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่าการเกี่ยวดองครั้งนี้ของสองตระกูลใหญ่อาจไม่เป็นมงคล
ช่วงที่ผ่านมาก่อนจะได้พบเหล่าพ่อค้าจากแคว้นเยว่ เขาเคยลงมือทำแผนการในทำนองนี้มาบ้างแล้ว เช่นทำลายล้อรถม้าของตระกูลว่านตอนที่จอดเก็บไว้ที่หลังร้านว่านแต่ไม่ได้ตั้งใจทำพังตั้งแต่แรก เพียงถอดสลักบางส่วนออกเพื่อให้มันไปพังกลางทาง
หรือจะเป็นหาหนูมาปล่อยในจวนบ้าง ทำเสียงผีหลอกบ่าวรับใช้คนอื่นบ้าง ที่หนักสุดก็คือเอาเลือดไก่มาเทบนพื้นในห้องครัว และก็เรื่องไม่ดีอีกมากมายที่สามารถทำให้มองได้ว่ามันเป็นเรื่องไม่มงคลเขาล้วนลงมือทำด้วยตนเองทั้งหมด แต่ก็อย่างที่ได้รู้กันว่าไม่มีเรื่องใดที่ได้ผล แต่คราวนี้เขาคิดจะหลอกผีตัวต้นเรื่องโดยตรง บางทีครั้งนี้ว่านฟู่เฉิงอาจกลัวจนไม่สบายขึ้นมาตามที่เขาคิดไว้ก็ได้
ในระหว่างที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็ได้ยินเสียงล้อรถเข็นเคลื่อนมาตามทางพร้อมกับเสียงเท้าอีกคู่หนึ่ง
เป็นหลี่เซียวพาคุณชายว่านมานั่งเล่นที่ลานว่างเหมือนเคย พอมาส่งที่เดิมเสร็จก็จากไปอย่างรู้งาน
กู่ซิงอีลอบสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตั้งสติคิดว่าจะเริ่มหลอกผีอย่างไรดี รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างขี้เล่น ทว่าต่อมาก็ชะงักค้างด้วยความประหลาดใจ
“ลงมาเถอะ ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น”
เป็นเสียงเนิบนาบของว่านฟู่เฉิงที่กล่าวขึ้นมาลอย ๆ แต่บริเวณโดยรอบนั้นนอกจากกู่ซิงอีแล้วก็ไม่มีใครอยู่ แถมยังสะดุดที่คำว่า ‘บนนั้น’ อีกด้วย
กู่ซิงอีคิดว่าถ้าไม่ใช่ตนแล้วจะเป็นใคร!
แต่อาจเพราะฤทธิ์ของสุราทำให้คนที่โดนจับได้ไม่กลัวว่าจะถูกจับตัวส่งทางการที่มาบุกจวนผู้อื่นเลยสักนิด เล่นกระโดดลงมาจากต้นไม้เปิดเผยตัวทันที “ว้า...โดนจับได้เสียแล้ว” ก้าวอาด ๆ เดินอ้อมมายืนเท้าสะเอวตรงหน้าเจ้าของจวนที่หันหลังให้ตนเมื่อครู่ แถมยังฉีกยิ้มส่งไปให้อีกด้วย “ดึกดื่นค่อนคืนแล้วเหตุใดคุณชายว่านยังไม่นอน” เขาพูดไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้มาจากคนภายในอยู่แล้วว่าคุณชายว่านเข้านอนดึก และบ่อยครั้งก็นอนไม่ค่อยหลับ
ว่านฟู่เฉิงเพิ่งเคยเห็นใบหน้าชัด ๆ ของอีกฝ่ายในระยะขนาดนี้ และเป็นครั้งแรกที่คนผู้นี้มองตรงมายังตนเองแถมยังส่งยิ้มมาให้อีก ภาพจำเดิมที่คนตรงหน้าเดินผ่านเขาสองครั้งในตลาด บนใบหน้าทั้งเรียบเฉยและเย็นชา พอมาทำงานในจวนก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดมาก ต่างกับยามนี้ลิบลับ หรืออาจเป็นเพราะวันนี้คนตรงหน้าดื่มสุรามากไปกันแน่ ถึงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ถึงขนาดนี้ เพราะดูจากแก้มที่แดงขึ้นมานิด ๆ แถมกลิ่นสุราหอมที่โอบล้อมรอบกายก็ชัดกว่าเดิม ว่านฟู่เฉิงเลยคิดว่าคนผู้นี้อาจเมามายจนแสดงนิสัยต่างไปจากเดิมก็เป็นได้
“คนที่ไม่นอนแล้วเข้ามาในจวนคนอื่นมีสิทธิ์อะไรมาถามเจ้าของจวนกัน” ว่านฟู่เฉิงไม่ได้รู้สึกกังวลว่าคนที่แอบเข้ามาทำงานในจวนของตนอยู่ไม่กี่วันก่อนแล้วย่องเข้ามาตอนกลางคืนจะมาปล้นตนเอง ยังคงถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเย็นชา คิ้วขมวดมุ่นด้วยความหงุดหงิดเพราะกลิ่นสุราบนกายของกู่ซิงอีเด่นชัดจนเกินไป กลิ่นหอมที่โอบล้อมไปทั่วบริเวณจู่ ๆ ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเท่าไร “ข้าควรถามเจ้าต่างหากว่าเจ้ามาทำไม”
“มาทำลายต้นพลับกระมัง” กู่ซิงอีกล่าวเรื่องจริงออกมาจากใจด้วยความอิจฉา
ดูเอาเถอะ คุณชายว่านผู้นี้รูปงามไร้สิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ น้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟัง แถมยังร่ำรวยจนแทบไม่อาจจินตนาการได้ว่ามีเงินทองมากขนาดไหน กระทั่งลูกพลับก็ดกกว่าบ้านของตนเอง จะไม่ให้รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร
“...” ว่านฟู่เฉิง
“คุณชายว่านฉลาดหลักแหลม...” กู่ซิงอีถอยไปด้านหลังสองก้าวไม่ประชิดตัวผู้อื่นอีก เขายืนกอดอกและเข้าใจแล้วว่าคนผู้นี้คงรู้ตั้งแต่แรกว่าเขาหลบอยู่บนต้นไม้ และเดาว่าคุณชายว่านคงรู้ว่าเรื่องแปลกประหลาดและบังเอิญมากมายที่เกิดขึ้นกับตนในช่วงนี้เป็นฝีมือของเขาเอง “กล่าวตามตรงท่านคงรู้เรื่องที่ผ่านมาแล้ว”
“...” ว่านฟู่เฉิงพยักหน้าเล็กน้อย สายตามองนิ่งไปยังคนตรงหน้า เขาย่อมรู้ว่าบ่าวรับใช้ชราที่มากับคุณหนูรองเซี่ยในวันนั้นคือคนเดียวกันกับคนตรงหน้า ถึงจะปลอมตัวมาแต่เพราะกลิ่นกายที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้รู้ได้ว่าเป็นใคร แต่เอาเข้าจริงถ้าหากไม่มีลมพัดเข้ามาในตอนที่ทั้งสองคนถูลู่ถูกังกันออกไปเขายอมรับว่าตนก็คงโดนหลอกไปแล้วเช่นกัน
คราแรกเขายังสงสัยว่าคนผู้นี้คือคนที่ตระกูลเซี่ยส่งมาจับตาดูเขา แต่พอไตร่ตรองถึงการกระทำของคุณหนูรองเซี่ยในสามวันที่ผ่านมาก็คิดว่าบุรุษผู้นี้คงไม่ได้มาจากนายท่านเซี่ยแน่ ๆ
ที่ผ่านมาเขารู้สึกว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้นกับตนมากมายจนนึกสงสัยอยู่ก็จริงแต่ก็ไม่ได้รู้แน่ชัดหรอกว่ามีเรื่องใดบ้างที่เกิดจากการกระทำของบุรุษผู้นี้ ยามนี้ก็แค่พยักหน้ารับไปเท่านั้น รอให้อีกฝ่ายเผยความลับออกมาทั้งหมดก็พอ
กู่ซิงอีแม้นจะรู้ว่าตนเองวางแผนได้ดียิ่งนักไม่เปิดเผยตัวเองมากเกินไป ทว่าคนที่สามารถดูแลกิจการการค้าเป็นอันดับต้น ๆ มาตลอดโดยไม่ถูกเบียดลงไปอยู่อันดับอื่นอย่างคุณชายว่านคงจับพิรุธเขาได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองผิดพลาดตรงไหนกันแน่ “เช่นนั้นไม่ปิดบังคุณชาย คุณหนูรองเซี่ยไม่ได้อยากตบแต่งกับท่าน” กู่ซิงอียกมือผสานกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อมแถมก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความจริงใจ
“เหตุใดถึงไม่อยากแต่ง หรือเป็นเพราะเจ้าเป็นคนรักของนาง? มิน่าเล่า...ถึงได้พยายามช่วยนางทุกวิถีทางขนาดนี้”
กู่ซิงอีเงยหน้ามองคนถามทันที แถมยังเพิ่งเคยได้ยินอีกฝ่ายพูดยาวขนาดนี้เป็นครั้งแรก “คุณชายว่าน! เข้าใจผิดแล้ว ท่านล้อข้าเล่นกระมัง” กู่ซิงอีถึงขั้นขนลุกขึ้นมา
ว่านฟู่เฉิงพอได้ฟังคำตอบก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจก่อนจะกลับมามีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิมในเวลาอันรวดเร็ว “เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงกล้าบุกมาในยามค่ำคืนเพื่อกล่าวเรื่องนี้กับข้าให้นางกัน ได้รับค่าตอบแทนมากขนาดนั้นเลยหรือ”
กู่ซิงอีลดมือลงเปลี่ยนไปผสานไว้ด้านหลัง ท่าทางดูสบายอกสบายใจ มุมปากก็ยกยิ้มบางขึ้นมา “เป็นค่าตอบแทนที่หาที่ไหนไม่ได้” กล่าวถึงตรงนี้หวนนึกถึงอดีตแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า “วันนี้พระจันทร์เหลือแค่เสี้ยวเดียวแล้ว”
“...” ว่านฟู่เฉิงไม่เข้าใจความหมายแฝง จึงคิดว่าคนผู้นี้คงเมามายถึงได้พูดไปเรื่อยเปื่อย
ต่อจากนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องใดอีก กู่ซิงอีขยับมายืนด้านข้างว่านฟู่เฉิง พากันจ้องมองท้องฟ้าด้วยกันสักพัก
จนกระทั่งกู่ซิงอีเริ่มง่วงแล้ว เขาจึงกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “คุณชายว่าน ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านต้องเลือกคุณหนูรองเซี่ย หรืออาจเป็นเพราะเหลือนางเพียงคนเดียวในตระกูลเซี่ยแล้วที่ท่านจะสามารถตบแต่งได้ ไม่ก็อาจจะด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวของท่านก็ตามเถอะ แต่ในเมื่อมิได้มีใจให้กัน ชีวิตหลังจากนี้ย่อมไม่แน่นอน หลายคู่ที่แต่งกันไปเพราะถูกบังคับสุดท้ายก็มีเพียงไม่กี่คู่ที่มีความสุข หากท่านไม่คิดเผื่อผู้อื่น...ก็คิดเผื่อตนเองบ้างเถิด” ประโยคหลังเขากล่าวเน้นอย่างจงใจและมองเข้าไปในตาของคู่สนทนา
ว่านฟู่เฉิงไม่กล่าวคำใด มองคนผู้นั้นจากไป ไม่คิดว่าคนเมาจะกล่าวได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ เลยคิดว่าบางทีคนผู้นั้นอาจไม่ได้เมาจริง ๆ ก็ได้
ตัวเขาเองก็เคยคิดเรื่องที่เจ้าคนชุดฟ้าเอ่ยถึงอยู่เหมือนกัน แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่คิดจะชอบใครอยู่แล้ว จะแต่งเพราะรักกันหรือไม่รักกันก็ย่อมไม่สำคัญ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ว่านฟู่เฉิงไม่เคยคาดคิดมาก่อน นั่นก็คือไม่เคยคาดคิดว่าคนผู้หนึ่งจะกำเริบเสิบสานได้ถึงขนาดนี้! เพราะวันต่อมาในยามดึกเจ้าคนเมาผู้นั้นก็โผล่มาเวลาเดิมอีกแล้ว!
“คุณชายว่าน!”
ร่างสูงในชุดสีฟ้าอ่อนเดินไต่อยู่บนกำแพง สองมือผสานยกขึ้นทักทายเขาทันทีที่โผล่ตัวมา บนใบหน้างดงามเป็นทุนเดิมก็กำลังยิ้มแย้มจนดวงตาเป็นประกายส่งมาให้เขา และอาจด้วยเพราะแสงไฟสลัวจากที่ไกล ๆ ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้างดงามดวงนั้นดูน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม น่าหลงใหลถึงขั้นที่ว่าผู้ใดได้พบเห็นจำต้องหยุดมองอย่างเผลอตัว
