บทที่ 7 (2.2) ละครฉากนี้ มีเพียงผู้เดียวที่มองออก
“ไม่มีอะไรชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา
นี่เป็นการถามคำตอบคำที่ดูยาวขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น
และมีเพียงกู่ซิงอีและหลี่เซียวที่รู้ว่าคุณชายว่านพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ขนาดไหน
“ฮ่า ๆ ๆ” ในตอนนั้นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวานมาตลอดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณชายว่านคุณสนุกยิ่งนัก! ฮ่า ๆ”
กู่ซิงอีพยายามกดยิ้มไว้ไม่หัวเราะตามสหายของตน ท่าทางสตรีที่หัวเราะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้ คุณชายว่านคงไม่ชอบกระมัง
ทว่าเมื่อเหลือบตามองกลับพบว่าอีกฝ่ายยังมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม กินขนมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มีเพียงหลี่เซียวที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันด้วยความแปลกใจแทน
พอเห็นว่าการหัวเราะหยาบคายไม่ได้ผล กู่ซิงอีก็แกล้งทำจอกชาที่รับคืนมาจากเซี่ยลู่หลินในตอนนั้นร่วงหลุดออกจากมือ
จอกชาตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ก่อนจะแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง เสียงก้องกังวานจึงดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กู่ซิงอีเหยียบเท้าของเซี่ยลู่หลินอย่างแรงว่าให้รีบทำตามแผนที่เหลือแทน
“อ๊ะ ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ เป็นบ่าวไม่ระวังเอง คุณหนูรองเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีรีบนั่งคุกเข่าลง
“เจ้า!” เซี่ยลู่หลินตวาดเสียงดังลั่น ลุกพรวดพราดขึ้นอย่างไว “ทำอะไรไม่รู้จักระวัง ชุดข้าเลอะหมดแล้ว ขายหน้าคุณชายว่านยิ่งนัก ไหนจะทำของผู้อื่นเสียหาย จะให้ข้าเอาหน้าไปตั้งไว้ที่ใดได้อีก!” นางยกเท้าถีบไปที่ไหล่ของสหายตนเองอย่างแรง
“โอ๊ย คุณหนู ไว้ชีวิตด้วย โปรดเมตตาคนแก่ผู้นี้ด้วย!” กู่ซิงอีรู้จังหวะดีอยู่แล้วพอโดนถีบก็หงายหลังกลิ้งตลบไปสองทีก่อนจะคลานกลับเข้ามาด้วยท่าทางน่าสงสาร
“เหอะ ชีวิตของเจ้ามีค่าอันใดกัน! ฆ่าเจ้าให้ตายก็ไม่พอค่าจอกชาอยู่ดี” เซี่ยลู่หลินสะบัดขาที่กำลังจะถูกกู่ซิงอีเกาะไปอีกทาง จากนั้นก็ก้มลงไปลากคอเสื้อกู่ซิงอีขึ้นมาไว้ในมือ ออกแรงกระชากให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินออกไปด้วยกัน “ดูสิว่ามารดาผู้นี้จะสั่งสอนเจ้าอย่างไรให้หลาบจำ!”
“คุณหนูรองไว้ชีวิตด้วย ๆ คุณหนูรองไว้...” กู่ซิงอีตะโกนเสียงดัง พลางแกล้งเดินขัดขาตัวเอง จนล้มกลิ้งไปอีกรอบ
“ลุกขึ้นมา!” เซี่ยลู่หลินกระชากคอเสื้อของกู่ซิงอีอีกครั้งก่อนจะพาหายออกไปจากร้าน พอพ้นประตูแล้วก็รีบปล่อยสหายของตนให้เป็นอิสระ
ทั้งคู่สบตากันเพียงแวบเดียวแล้วก็รีบพากันหายไปจากตรงนั้นด้วยกลัวว่าจะมีคนตามมา
ด้านในห้องทำงานร้านว่าน
ว่านฟู่เฉิงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาคายขนมในปากทิ้ง ยกชาขึ้นจิบอีกหลายคำเพื่อล้างรสชาติขนมที่ติดตรึงบนลิ้นไม่จางหายทิ้งไป แต่สีหน้าก็ยังไม่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม
“คุณหนูรองเซี่ยเหตุใดอารมณ์รุนแรงยิ่งนัก” หลี่เซียวมองตามจนคนทั้งสองหายออกไปก็เอ่ยพึมพำกับตนเอง “ก่อนหน้านี้ในเมืองต่างบอกแค่ว่าข้อเสียของคุณหนูรองเซี่ยมีแค่เรื่องที่ชอบหนีออกจากบ้านบ่อยครั้งก็เท่านั้น แต่ได้มาเห็นเองกับตาวันนี้...ช่างโหดร้ายยิ่งนักขอรับ” หลี่เซียวพลันนึกรักเจ้านายของตนมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แม้หลายปีก่อนคุณชายจะเจ้าอารมณ์และขี้หงุดหงิดกว่าตอนนี้แต่ก็ไม่เคยลงมือทุบตีคนในจวน มีเพียงแค่ปากร้ายและทำลายข้าวของเท่านั้น ดูท่าแล้วคนในจวนเซี่ยคงลำบากมากนัก หลี่เซียวคิดเช่นนั้น
แต่ว่านฟู่เฉิงกลับคิดต่างออกไป หวนนึกถึงการแสดงเมื่อครู่ มุมปากก็ขยับยกขึ้นเล็กน้อย
...........
เมื่ออีกวันมาเยือนกู่ซิงอีและเซี่ยลู่หลินก็เริ่มอีกแล้ว เนื่องจากเมื่อวานพอเห็นทางตระกูลว่านยังไม่ส่งคนมาขอยกเลิกงานหมั้น วันนี้จึงพากันเริ่มแผนใหม่ตั้งแต่ยามซื่อ (09.00-10.59)
ครั้งนี้คุณชายว่านอยู่ทำงานที่จวน นางเลยมาหาที่จวนแทน
เซี่ยลู่หลินไม่ได้พากู่ซิงอีมาเพราะเมื่อวานนางลงมือตบตีคนต่อหน้าคุณชายว่านไปแล้ว หากจะให้สมจริงก็คือคนผู้นั้นที่ถูกนางตบตีจำต้องนอนพักไปอีกหลายวัน ดังนั้นจึงเปลี่ยนกงซูเจินซึ่งเป็นสาวใช้คนสนิทมาแทนและพวกนางก็ได้ทำการนัดแนะกันมาก่อนแล้วด้วย
เมื่อมาถึงนางก็ถูกเชิญมาที่ศาลากลางสระบัว เพราะว่านฟู่เฉิงกำลังอยู่ในช่วงพักพอดีจึงมานั่งเล่นที่นี่
หากจะให้กล่าวถึงว่าคุณชายว่านร่ำรวยเพียงใด ก็แทบไม่ต้องพรรณนาให้มากความ เพียงทอดสายตามองสระบัวที่กว้างใหญ่ตรงหน้า เหล่าดอกบัวที่บานสะพรั่งเต็มสระ ดูก็รู้ว่าเสียเงินในการดูแลไปมากเท่าไรใน
ภาพเบื้องหน้างดงามวิจิตรตระการตาขนาดนี้แทบทำให้ผู้คนหลงลืมตัวตนไปชั่วขณะเลยจริง ๆ
“คุณหนูรองเซี่ย” ว่านฟู่เฉิงกล่าวทักทายนางก่อน ดวงตาปัดผ่านไปทางสาวใช้ด้านหลังเพียงแวบเดียวแล้วกลับมามองเซี่ยลู่หลินอีกครั้ง
เซี่ยลู่หลินรู้ว่าคุณชายว่านมองคนด้านหลังก็เข้าใจว่าเขาคงรู้แล้วว่านางอาจลงมือทำร้ายบ่าวชายเมื่อวานจนเจ็บหนัก นางพลันยกยิ้มบางขึ้นมาและย่อตัวลงทำท่าทางอ่อนหวานคล้ายเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“วันนี้ข้าว่างจึงทำขนมมาให้คุณชายว่านทาน” นางสะบัดมือเล็กน้อยให้กงซูเจินนำของขึ้นมาวางบนโต๊ะน้ำชา แล้วตัวเองก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามเจ้าของจวน
“รบกวนคุณหนูรองแล้ว” ว่านฟู่เฉิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยกล่าวอย่างมีมารยาท
ทว่าหลี่เซียวกลับเก็บอาการไม่อยู่ ลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความฝืนทนเพราะเมื่อวานเขาได้ลองชิมขนมที่คุณหนูรองเซี่ยนำมาให้คุณชายของตนแล้ว พบว่านี่คือยาพิษชนิดหนึ่ง !
เมื่อวานนอกจากจะรู้สึกรักคุณชายของตนขึ้นมาเพราะไม่เคยถูกทุบตีแบบบ่าวของจวนตระกูลเซี่ยแล้ว เขาก็ต้องยอมรับว่านับถือเจ้านายที่สามารถรักษาท่าทีปกติไว้ได้ทั้งที่ขนมนั้นแทบทำให้คนกินเข้าไปอยากคายทิ้งในทันที
“รบกวนอะไรกัน คุณชายว่านก็...” ตอนนั้นเซี่ยลู่หลินก็รับชาที่กงซูเจินรินให้มายกดื่ม แต่ในน้ำชาดันมีก้านของใบชาลอยอยู่ด้วย พอดื่มเข้าไปนางก็ถุยทิ้งออกมา “เพ่ย! นี่!” นางหันไปตวาดกับสาวใช้ของตนเสียงดัง แถมยังส่งเสียงในลำคอคล้ายกำลังขากใบชาที่ติดอยู่ในคออีกสองสามที
“ขอโทษเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวรินไม่ดีเอง” กงซูเจินรีบทำท่าทางกระวนกระวาย จากที่โค้งตัวอยู่ก็รีบคุกเข่าลงเอาตัวนาบไปกับพื้น แสร้งทำตัวสั่นเหมือนลูกนกตกน้ำ
แต่ครั้งนี้เซี่ยลู่หลินทำเหมือนเก็บอารมณ์ เพียงส่งเสียงเหอะออกมาหนึ่งทีอย่างไม่พอใจ นี่เป็นเรื่องที่กู่ซิงอีและนางช่วยกันคิด ว่าไม่ควรแสดงว่าตนเองร้ายกาจจนเกินไป จำต้องมีผ่อนปรนหนักบ้างเบาบ้าง
และการแสดงแบบนี้ก็ดำเนินไปอยู่สามวันเต็ม ๆ
วันที่สามนางก็ลงมือตบตีสาวใช้ต่อหน้าคุณชายว่านอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไร้วี่แววว่าจะถูกถอนหมั้นเหมือนเคย
หัวค่ำวันนั้นกู่ซิงอีจึงนำสุรามานั่งดื่มด้วยกันสองคนกับเซี่ยลู่หลินที่หลังจวนของตระกูลเซี่ย
สุรานี่เขาหวงแหนมากนักเพราะเหลือเพียงไม่กี่ไหที่ผู้เฒ่าเว่ยหมักไว้ให้แล้ว บ่อยครั้งจึงแค่เอาออกมาชิมดูเพียงเล็กน้อยเพื่อเปรียบเทียบว่าตนหมักได้เหมือนหรือไม่เท่านั้น แต่ไม่ว่ากี่ครั้งก็ไม่เคยเหมือนกับที่ผู้เฒ่าเว่ยหมักเลยสักครา จนแทบล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว สุราไหที่เหลืออยู่เลยเก็บไว้ดูต่างหน้า ทว่าวันนี้สหายรักของตนมีเรื่องทุกข์ใจ เขาจึงนำมาดื่มด้วยกันอย่างไม่นึกเสียดาย
“กู่ซิงอี เจ้าไม่มีคนที่พึงใจเลยหรือ” เซี่ยลู่หลินเมามายแล้ว เวลาพูดก็เสียงยานคางกว่าปกติ แถมยังเรียกชื่อเต็มของกู่ซิงอีที่ไม่ได้เรียกมานานมากแล้วด้วย
“...” กู่ซิงอีส่ายหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน และมองใบไม้ที่ปลิวอยู่กับพื้นสลับกันไปมา สายลมเย็นพัดโชยเอื่อยเฉื่อย แต่จิตใจผู้คนกลับหนักอึ้งยิ่งนัก
“หรือ...อย่าบอกนะ อย่าบอกนะว่าเจ้าแอบชอบข้า” นางยกมือกอดตนเองถอยไปด้านหลังเล็กน้อย “โอ๊ย!” แต่กลับโดนลูกดีดจากนิ้วของกู่ซิงอีดีดเข้าที่หน้าผากอย่างแรงไปหนึ่งทีเต็ม ๆ จนต้องรีบยกมือที่กอดอกอยู่ขึ้นกุมหน้าผากไว้ด้วยความเจ็บแทน
“ข้าแปลกใจยิ่งนักที่เจ้ามีคนรักแล้ว เป็นบุรุษบ้านไหนที่ตาไม่ดีกันเล่า” กู่ซิงอีกล่าวกลั้วหัวเราะ ยกไหสุราสีดำขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง ใบหน้ารูปงามแต้มสีชมพูจาง ๆ แม้เขาจะยังคงพูดด้วยน้ำเสียงปกติแต่ก็พบว่าครั้งนี้ตนเองเหมือนจะดื่มไปเพียงนิดเดียวก็เริ่มเมามายเสียแล้ว อาจเพราะว่าช่วงนี้วิ่งวุ่นช่วยเซี่ยลู่หลินจนไม่ได้พักก็เป็นได้ ถึงได้ดื่มไปเพียงนิดก็รู้สึกมึนหัวขนาดนี้
“เหอะ เป็นสตรีอื่นต่างหากที่สายตาดีเกินไป เลยมิมีใครมาชอบเจ้า! อึก” เซี่ยลู่หลินไม่เหลือคราบคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ไว้ให้เห็นอีกต่อไป สะอึกเสร็จก็เรอตามออกมาอีกหนึ่งที “หน้าตาก็ดี เสียของจริง ๆ ...” กล่าวถึงตรงนี้ก็สิ้นสติ เอนตัวหัวทิ่มไปด้านหน้า
กู่ซิงอีแม้จะเมามายแต่ก็เอามือไปรับหัวนางไว้ได้ทัน เขากวักมือเรียกกงซูเจินมาพาเจ้านายของนางกลับไปห้องนอน ส่วนตัวเองก็หยิบสุราที่เหลือแค่ก้นไหแล้วขึ้นมาถือไว้ ปีนออกจากจวนตระกูลเซี่ยไป
