บทที่ 6 (2.2) +7 (1.2) แล้วไยยังมิสำเร็จ
ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด!
ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที
ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง
กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่
ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้!
วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว
“เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นแล้ว
เซี่ยลู่หลินเอนตัวนอนแนบไปกับโต๊ะราวกับทั่วทั้งร่างไร้กระดูกไปเสียแล้ว ท่าทางกิริยาดูไม่สมกับเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูอบรมมาเป็นอย่างดี “เขาน่ากลัวขนาดนั้น แค่เห็นไกล ๆ ข้ายังขาสั่นไม่หยุด แล้วไหนเลยจะกล้าไปพูดคุยด้วยอีก”
กู่ซิงอีพลันนึกถึงท่าทีฉุนเฉียวแต่สง่างามของคุณชายว่านในเหตุการณ์เมื่อวานขึ้นมาทันที เสี่ยวลู่กล่าวถูกแล้วจริง ๆ คนผู้นี้สายตาน่ากลัวยิ่งนัก ขนาดเขามิใช่ผู้ที่ถูกสายตาคมกล้านั้นมองมายังขนลุกไปทั่วกายด้วยความหวาดหวั่น
“หรือเจ้าลองหนีไปดีหรือไม่” กู่ซิงอีคิดแผนใหม่ได้ ดวงตาเป็นประกายยกยิ้มถามสหายรัก หากหนีไปก็จบเรื่องแล้ว
“อาอี!” เซี่ยลู่หลินตกใจสะดุ้งพรวดเด้งตัวขึ้นมานั่งตัวตรง “ข้าทำสิ่งใดเป็นบ้างนอกจากที่บิดาให้คนมาสอนสั่ง หากหนีไปเกรงว่าคงอดตายกับคนรักเป็นแน่!” สิ่งที่บิดาให้คนมาสอนก็ใช่ว่านางจะทำมันออกมาได้ดีเสียหน่อย นอกจากมีฐานะของคุณหนูรองตระกูลใหญ่ค้ำคอแล้วที่เหลือนางต่างก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอันใดเลยสักนิด กระทั่งเงินทองยังถูกผู้เป็นบิดาจำกัดให้ใช้ ขนาดค่าไถ่ตัวแม่นางฉีหย่ายังต้องรบกวนกู่ซิงอีเป็นคนออกให้ หากนางหนีไปแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองได้เล่า
“...” กู่ซิงอีไม่กล้ากล่าวว่าที่นางพูดล้วนจริงทั้งหมด และก็ไม่กล้าถามถึงคนรักของนางว่าอีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่เป็นเหมือนกันหรือเหตุใดถึงได้ไม่ลองวิธีนี้ดู แม้ทั้งคู่จะเป็นสหายคนสนิทแต่ก็ไม่ก้าวก่ายกันเกินไป “เช่นนั้นข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วโกหกว่าเราสองคนเป็นคู่รักกันดีหรือไม่?”
“...” ดวงตาของเซี่ยลู่หลินทอแสงเปล่งประกาย ขยับตัวไปด้านหน้า แต่แล้วก็ดูท้อแท้อีกครั้ง คราวนี้คล้ายว่าท้อแท้ถึงขีดสุดแล้วด้วย “ไม่ได้สิ หากเรื่องถึงหูบิดาข้าคนที่โดนเล่นงานก็จะเป็นเจ้าแทน”
กู่ซิงอีเม้มปากพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง เมื่อก่อนทั้งคู่แอบมาเล่นด้วยกันบ่อย ๆ นายท่านเซี่ยก็ให้คนมากีดกันออกจากกันเพราะกลัวบุตรสาวของตนจะถูกมองไม่ดี กลัวจะมาหลงรักตนเข้า แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็แอบมาเล่นด้วยกันอยู่ดี แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หรือมีใจเสน่หาต่อกันอย่างที่นายท่านเซี่ยกังวล
ตัวเขาย่อมรู้ดีว่านายท่านเซี่ยแทบจะสามารถสั่งคนมาสังหารเขาทิ้งได้เลยด้วยซ้ำ และมีครั้งหนึ่งที่เขาโดนคนเดินตามตลอดทางหลังจากที่นัดพบกับเซี่ยลู่หลินเมื่อสองปีก่อน ดีที่ยามนั้นหนีรอดมาได้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าคนที่ตามเขามามีส่วนเกี่ยวข้องกับนายท่านเซี่ยหรือไม่แต่กู่ซิงอีเชื่อไปเก้าส่วนแล้วว่านายท่านเซี่ยนั่นแหละเป็นคนจ้างมา ดังนั้นพอคิดมาถึงตรงนี้ก็ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก ตัวเขาพอมีเงินทองอยู่บ้างไม่ถึงขั้นยากจนข้นแค้น แต่ก็ไม่ใช่คนมีอำนาจ ตนจะเอาอะไรไปสู้นายท่านเซี่ยได้กัน “เช่นนั้นก็ไปพบคุณชายว่านแล้วก็ก่อกวนให้เขาทนไม่ไหวเป็นอย่างไร”
“แต่คุณชายว่านน่ากลัวขนาดนั้น” เซี่ยลู่หลินเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว นี่ต่างจากการไปขอให้อีกฝ่ายยกเลิกงานหมั้นตรงไหนกัน
“ไม่น่ากลัวหรอกน่า” กู่ซิงอีโกหก ตบไหล่คนตัวเล็กไปเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจ ทั้งกล่าวปลอบนางและหว่านล้อมไปในตัวว่าหากนางยังกลัวอยู่อย่างนี้ในอนาคตคงต้องแต่งให้คุณชายว่านแน่นอน
ในตอนที่ได้ไปทำงานในตระกูลว่านเขาย่อมตระหนักถึงนิสัยบางส่วนของคุณชายว่านได้บ้างแล้ว แทบไม่อยากให้สหายแต่งงานไปกับคนเย็นชาเช่นนั้นเลย หากใครได้ตบแต่งไปคงไม่มีความสุขเท่าไรนัก พอคิดถึงภรรยาในอนาคตของคุณชายว่านขึ้นมา กู่ซิงอีก็ทอดถอนใจ เสียใจกับคนผู้นั้นอยู่หลายครา
เซี่ยลู่หลินพอได้ฟังก็ทำใจอยู่นานถึงยอมตกลงในที่สุด แต่ก็ขอร้องให้กู่ซิงอีไปด้วยกัน
ทั้งคู่จึงเตรียมของไปเยี่ยมอีกฝ่ายในวันนั้นทันที เป็นขนมฝีมือของเซี่ยลู่หลินที่มีฤทธิ์ขั้นสูงยิ่งกว่ายาพิษ!
วันนี้เองก็เป็นวันที่ว่านฟู่เฉิงต้องมาที่ร้านว่านกลางตลาดพอดี
ด้วยความที่เซี่ยลู่หลินมีฐานะเป็นว่าที่คู่หมั้นดังนั้นการผ่านเข้าไปด้านในจึงเป็นเรื่องง่ายดาย
ส่วนกู่ซิงอีก็ปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ถือตะกร้าสานสองชั้นอยู่ด้านหลังตามสหายของตนมาติด ๆ เขาทำผมแบบใหม่แถมวาดหน้าวาดตาให้ดูมีอายุ ฝีมือการแปลงโฉมที่ชวนตกตะลึงเช่นนี้เซี่ยลู่หลินเห็นคราแรกยังเอ่ยชม ดังนั้นไม่มีทางถูกจับได้!
เซี่ยลู่หลินพอมาถึงก็ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยท่าทางอ่อนช้อย “คุณชายว่าน ข้า...”
“คุณหนูรองเซี่ยไม่ต้องมากพิธี” ว่านฟู่เฉิงยังคงกล่าวเนิบช้าตามนิสัยเดิมที่ดูสูงศักดิ์และสง่างาม แต่หัวคิ้วกลับไม่มุ่นเข้าหากันเหมือนอย่างเคย “เชิญนั่งเถิด”
กู่ซิงอีได้เห็นถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ไม่คิดเลยว่าคุณชายว่านก็ทำสีหน้าแบบอื่นเป็นกับเขาด้วย ก่อนจะเดินพาตะกร้าขนมไปยื่นให้หลี่เซียว ยามที่เดินไปใกล้สองนายบ่าวเขาก็พยายามก้มหน้าลงต่ำและทำหลังค่อมอยู่ตลอดเวลา
เซี่ยลู่หลินที่ผสานมือไว้อยู่ตรงเอวก็กำมือแน่นขึ้นด้วยความประหม่า มุมปากที่ยกยิ้มกระตุกเล็กน้อย กลัวแผนการของตนจะถูกจับได้ ทว่าพอได้นั่งลงและได้เห็นว่าคุณชายว่านไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ได้มองเห็นจากที่ไกล ๆ ก็สงบใจลงไปได้บ้าง กล่าวตามที่ได้นัดแนะกับสหายของตนว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานหมั้นแล้วแต่เราทั้งคู่ไม่เคยได้รู้จักกันเลย ข้าจึงเสียมารยาทมาพบท่านด้วยตนเอง หวังว่าคุณชายว่านจะไม่ขุ่นเคือง”
ความจริงการมาพบว่านฟู่เฉิงก่อนทั้งที่ตนเองเป็นสตรีเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างมาก แต่นี่ก็เป็นแผนการของพวกนางอยู่แล้วที่ต้องการดูแย่ในสายตาของคุณชายว่าน และอีกฝ่ายก็ช่างน่าแปลกนักที่มาขอนางหมั้นหมายแต่ก็ไม่เคยมาพบกันสักครั้ง ทว่านางก็มิได้ถือสาเพราะที่ผ่านมานางเองก็ไม่ได้อยากเจอเขาอยู่แล้ว ที่มาเจอครั้งนี้ก็แค่มาทำให้เขาไม่ชอบตัวเองก็เท่านั้น เซี่ยลู่หลินยังกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าทำขนมมาฝากคุณชายว่านด้วย หวังว่าท่านคงไม่รังเกียจ”
“ลำบากเจ้าแล้ว” ว่านฟู่เฉิงกล่าวเสียงเบามองขนมที่คนสนิทวางลงที่โต๊ะให้
“...” เซี่ยลู่หลินจงใจยกยิ้มบางเบาเพื่อทำให้ดูนุ่มนวลกว่ายามปกติ แต่ดวงตาก็หยุดมองขนมบนโต๊ะนิ่งงัน
จังหวะนั้นกู่ซิงอีก็หันไปรับถาดใส่กาน้ำชามาจากบ่าวรับใช้ของร้านว่านพอดี ครั้นบ่าวคนนั้นพอส่งของเสร็จก็จากไป ในห้องทำงานของว่านฟู่เฉิงจึงเหลือคนเพียงสี่คนเท่าเดิม
ตัวเขาพอรับกาน้ำชามาแล้วก็นำมารินส่งให้เซี่ยลู่หลิน การกระทำช่างแยบยลคล้ายตนเองเป็นบ่าวมาแต่ไหนแต่ไร คราวนี้เขาแสดงได้ค่อนข้างดี ไม่ดูเงอะงะเหมือนตอนที่ช่วยดูแลคุณชายว่านเลยสักนิด อาจเป็นเพราะสนิทใจกับสหายอยู่แล้วด้วยจึงทำทุกอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ และในตอนที่กำลังส่งจอกชาให้คนที่นั่งอยู่เขาก็มองขนมในจานบนโต๊ะทำงานของคุณชายว่านเหมือนกัน
ดังนั้นสองคนนี้ คนหนึ่งส่งจอกชาโดยไม่มองเจ้านาย อีกคนก็รับจอกชาโดยไม่มองบ่าวของตน ต่างมองไปทางโต๊ะทำงานของคุณชายว่านเป็นตาเดียว
ว่านฟู่เฉิงหยิบขนมในจานขึ้นมากัดไปหนึ่งคำเล็กแล้วกินเข้าไปโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด หน้าตาก็ยังดูปกติดี ไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดแปลกออกมา
กู่ซิงอีที่ยืนติดอยู่กับเซี่ยลู่หลินก็โดนคนที่นั่งอยู่หยิกเข้าที่แขนเบา ๆ เขารีบเอาแขนหลบ สองตาเขาเองก็เห็นเหมือนกันว่าคุณชายว่านกินเข้าไปแล้วแต่กลับยังรักษาหน้าตาไว้ได้ปกติไม่เหมือนคนอื่นที่เคยได้ลิ้มรสฝีมือนางมาก่อนหน้านี้เลยสักนิด
...หรือฝีมือสหายของเขาจะพัฒนาขึ้นมาบ้างแล้วนะ ตอนทำเสร็จก่อนออกมาเมื่อครู่ก็ไม่มีใครกล้าลองชิมสักคน ขนาดโยนให้นกแถวนั้นกินนกยังไม่ชายตาแลบินลงมาเลย
ครั้นพอในห้องเงียบเกินไป กู่ซิงอีจึงเอาหลังมือเคาะไปที่หัวไหล่เซี่ยลู่หลินเพื่อส่งสัญญาณ
“คุณชายว่าน ไม่ทราบว่าคุณชายว่านมีขนมที่ชอบทานหรือไม่” เซี่ยลู่หลินในตอนนี้ท่าทางอ่อนหวานไม่เหมือนยามที่อยู่กับกู่ซิงอีสักนิด ราวกับเป็นคนละคน ทว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
...............................
