บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 (2.2) แยบยลเกินไปหน่อยเกือบไม่ทันได้สังเกต

เอาเข้าจริงหากเซี่ยลู่หลินเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายและได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงไม่รู้แน่ว่าเป็นสหายของตน กู่ซิงอีนั้นนอกจากจะดัดเสียงแล้วยังปลอมตัวอีกด้วย เขาสวมผ้าคาดที่หน้าผากแบบบ่าวทั่วไปชอบสวมแถมยังมัดผมขึ้นจนหมดไม่ได้ปล่อยหางม้าแบบเคย และอย่างไรเสียคุณชายว่านกับเขาก็เคยเจอหน้ากันหนหนึ่งเท่านั้นแถมเป็นตอนที่เขาอยู่ไกลกันค่อนข้างมาก คงไม่มีทางจำกันได้

ว่านฟู่เฉิงคาดไม่ถึงว่าบ่าวชายจะซ่อมล้อรถเข็นให้ตนเช่นนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะพาตนเองกลับไป ไม่ก็ไปเรียกคนสนิทของตนมาให้ หรือไม่ก็ไปหารถเข็นตัวสำรองมาแทน แถมเมื่อครู่ตอนเขาล้มบ่าวคนนี้ก็ไม่พูดไม่จาไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ ทำเพียงอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วจากไป ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเจอเลยสักนิด ความรู้สึกโกรธจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน

กู่ซิงอีเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมอง “หรือว่าคุณชายบาดเจ็บตรงไหน”

เพิ่งจะมาเอ่ยปากถามเอาตอนนี้เอง

ว่านฟู่เฉิงแทบอยากถอนหายใจใส่แต่ก็ทำเพียงเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้ในใจ กล่าวเนิบนาบอย่างรักษาท่าทีว่า “เจ็บหัวเข่านิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก”

บ่าวคนนี้ความรู้สึกช้ายิ่งนัก! ว่านฟู่เฉิงอดบ่นในใจมิได้ พอคิดอย่างนั้นจึงอยากรู้ว่าคนทึ่มทื่อผู้นี้มีหน้าตาอย่างไรเลยก้มหน้าลงไปมองคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่าตน จังหวะนั้นก็พบว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายคือบุรุษรูปงามคนที่ตนเจอในตลาด เขาพลันชะงักไปชั่วขณะ

ทำไมคนผู้นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ยังว่ากลิ่นกายช่างคุ้นเคยนัก เขาคิดไว้แล้วว่าถ้าหากมองตามใครมากเกินไป คนผู้นั้นมักจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสมอ

“ตามหมอดีไหมขอรับ แต่ช่วงนี้ทางการสั่งห้ามออกจากบ้านหลังยามซวี เกรงว่าหากจะเรียกหมอคงต้องเป็นพรุ่งนี้แทน”

ว่านฟู่เฉิงสังเกตคนที่ก้มหน้าใช้ความคิดอยู่ข้างรถเข็นของตนเอง ไร้ความดูแคลนในสายตา ไร้ความเห็นใจหรือเวทนา ใบหน้าของบ่าวคนนี้ทั้งเฉยเมยและเย็นชายิ่งนัก แต่แววตาที่เฉยชากลับทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยแทน เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ค่อยให้อาเซียวไปเชิญหมอมาเถิด อากาศเย็นมากแล้วพาข้าเข้าห้องที”

กู่ซิงอีพลันเงยหน้ามองคนบนรถเข็นทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนหน้าที่บ่าวชายจะเตือนเขา ท่านน้าคนครัวก็เคยเล่าให้ฟังว่าปกติคุณชายดื้อรั้นชอบทำอะไรด้วยตนเอง ไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย ดังนั้นก่อนหน้านี้พอเขาอุ้มคุณชายว่านขึ้นมาจึงพยายามไม่วุ่นวายกับอีกฝ่าย พาขึ้นมานั่งได้ตามเดิมก็คิดจากไป

ยามนี้พอถูกอีกฝ่ายบอกให้ช่วยพากลับห้องกู่ซิงอีจึงคิดไปแล้วว่าคุณชายว่านอาจจะเจ็บหนักเพราะรถล้มเมื่อครู่ถึงขั้นขยับเองไม่ไหว มิเช่นนั้นคงไม่เอ่ยปากใช้เขา กู่ซิงอีจึงรีบถามด้วยความตื่นตระหนก “คุณชายไม่ได้บาดเจ็บแค่เข่าหรือไม่ เจ็บแขนด้วยหรือเปล่าขอรับ” สีหน้าที่เฉยชาซึ่งพยายามรักษาไว้ก็ถูกทำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว

“บอกเจ้าไปตอนนี้เจ้าจะรักษาได้หรือ” ว่านฟู่เฉิงใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับไม่สบอารมณ์ เขาหันมองไปทางอื่นตอนกล่าวประโยคนั้นออกมา

กู่ซิงอีได้เห็นท่าทางของคุณชายว่านก็เข้าใจแล้วที่น้าแม่ครัวบอกมาล้วนเป็นเรื่องจริง เขาเลยไม่พูดอะไรต่อ หยัดกายขึ้นพร้อมกับโคมไฟในมือแล้วเดินไปหลังเก้าอี้รถเข็นออกแรงพาคุณชายว่านกลับห้องไป

‘คนผู้นี้หน้าตาก็ดีแต่ชอบขมวดคิ้วยิ่งนัก น้ำเสียงเองก็นุ่มทุ้มน่าฟังแต่คำพูดคำจาที่เอ่ยออกมาล้วนประชดประชันไม่สนผู้ใดอยู่ในสายตา’ กู่ซิงอีบ่นพึมพำในใจพลางคิดว่าต้องพยายามทำให้สหายของตนไม่ต้องแต่งงานกับคุณชายว่านให้จงได้ คนผู้นี้ดูท่าแล้วหากแต่งงานไปอยู่ด้วยกันคงไม่น่าจะมีความสุขเลยสักนิด!

กู่ซิงอีไม่ค่อยอยากพูดคุยกับคุณชายว่านเท่าไรนัก แต่ครั้งนี้พอเข้ามาถึงในห้องแล้วจะไม่ถามก็ไม่ได้อีก

“คุณชายอยาก...คุณชายมีสิ่งใดต้องการเพิ่มเติมหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีเปลี่ยนจาก ‘อยากให้บ่าวช่วย’ เป็น ‘ต้องการ’ แทน เพื่อไม่ให้ว่านฟู่เฉิงอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม

อีกฝ่ายไม่ตอบทำเพียงยกมือให้เขาจากไปได้ กู่ซิงอีจึงกลับไปเดินตรวจตราอีกครั้ง

ในช่วงเย็นวันต่อมาฉีหย่าก็มาถึงจวนพอดี กู่ซิงอีที่รออยู่แล้วรีบมาเปิดประตูพาเข้าไป ไม่รู้ว่าเพราะโชคเข้าข้างหรืออย่างไร ปกติวันนี้คุณชายต้องไปที่ร้านว่านแต่กลับหยุดอยู่บ้านแทน แล้ววันนี้เป็นวันที่ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมที่ฉีหย่าทำงานอยู่ต้องส่งบัญชีมาให้คุณชายว่านตรวจสอบ ฉีหย่าจึงอาสานำมาส่งให้แทน และเพราะช่วงเช้าโรงเตี๊ยมก็ดันมีคนเข้ามามากกว่าปกติจำต้องให้นางอยู่ช่วยก่อน นางเลยได้โอกาสมาส่งของช้าจนเย็นย่ำขนาดนี้ได้พอดี

กู่ซิงอีส่งฉีหย่าให้หลี่เซียวต่อ จากนั้นไปวางแผนให้ท่านน้าแม่ครัวมาเรียกใช้งานฉีหย่า เพราะก่อนหน้านี้กู่ซิงอีเพิ่งไปวางยาถ่ายผู้ช่วยแม่ครัวอีกคนไว้ไม่ให้ลุกมาทำงานได้ไหว สุดท้ายฉีหย่าจึงรั้งอยู่ที่จวนได้สำเร็จเพราะเลยเวลาที่จะสามารถออกจากจวนได้แล้ว

น้าแม่ครัวเองก็ชอบฉีหย่าที่พูดเก่งแถมหน้าตาดี นางช่วยจัดหาที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย

ด้านหลี่เซียวพอได้รู้ว่าฉีหย่ากลับออกไปไม่ทันก็ไปแจ้งเรื่องนี้ให้คุณชายของตนทราบด้วย

ว่านฟู่เฉิงเพียงพยักหน้ารับ อาจด้วยเพราะเรื่องราวดูไม่มีอะไรน่าสงสัยเขาจึงปล่อยผ่านไปโดยไม่เสียเวลาไปสนใจ

แต่เขากลับพบว่าตัวเองคิดผิด

ในตอนที่นั่งเล่นอยู่ด้านนอกอย่างที่ชอบทำเป็นประจำในช่วงหัวค่ำ ก็มีสตรีคนหนึ่งโผล่มาอยู่ตรงหน้าเขา

สตรีผู้นี้ถือว่าค่อนข้างงดงาม ท่าทางก็ดูน่ามอง เดินบิดตัวทีก็เห็นสะโพกและทรวดทรงอย่างชัดเจน

ว่านฟู่เฉิงย่อมรู้ได้ทันทีว่านางคือใคร เพราะบ่าวในจวนที่เป็นสตรีเขารู้จักทั้งหมดแถมยังไม่เคยรับคนที่อยู่ในวัยนี้เข้าจวนมาก่อน ดังนั้นจึงมีเพียงแค่สตรีนางนั้นที่มาส่งบัญชีของโรงเตี๊ยมให้เขาแล้วกลับไม่ทัน

และว่านฟู่เฉิงก็ยังไม่ลืมที่หลี่เซียวรายงานว่านางคือคนเดียวกันกับที่ถูกรถม้าของเขาชนในวันนั้น ถ้าหากหลี่เซียวไม่รายงานให้ฟังเขายอมรับว่าเขาคงจำนางไม่ได้ เพราะวันนั้นเขาแทบไม่ได้สังเกตใบหน้าของนางเลย

.........

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel