บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 (1.2) ใครบางคนที่พบเจอมิห่าง

สองสามวันผ่านไปก็ไร้วี่แววว่าฉีหย่าจะทำงานสำเร็จ ในตอนนั้นร้านว่านรับสมัครบ่าวชายไปทำงานที่จวนตระกูลว่านพอดี กู่ซิงอีจึงรีบไปเสนอหน้าก่อนใคร แถมด้วยความฉลาดพูดของเขาก็ทำให้ได้งานในทันที

กู่ซิงอีพอย้ายเข้ามาในจวนก็ส่งข่าวให้ฉีหย่าหาเรื่องมาที่จวนตระกูลว่านให้ได้ในสองสามวันนี้ เพราะเขาได้ข่าวว่าทางการสั่งห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาเจ็ดวันหากเลยยามซวี [1] ไปแล้ว ดังนั้นจะต้องหาเรื่องให้นางรั้งอยู่จนถึงยามนั้นเพื่อให้นางพักที่จวนตระกูลว่านให้ได้

ความจริงถ้ามีเวลามากกว่านี้กู่ซิงอีคิดว่าคงให้นางค่อย ๆ เอาชนะใจคุณชายว่าน แต่เพราะระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ต้องรีบหาทางให้ทั้งคู่ได้เจอกันก่อน

ตกดึกคืนนั้นกู่ซิงอีกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมคือต้องไปเดินตรวจตรารอบจวนแทนคนเก่าที่เกิดหกล้มจนเดินไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน

จวนตระกูลว่านค่อนข้างใหญ่โต จึงแบ่งการเดินตรวจเวรออกเป็นสองฝั่ง ในแต่ละรอบจะมีคนเดินตรวจตราทีละสองคน

กู่ซิงอีแต่เดิมก็เป็นคนมีความจำเป็นเลิศ บ่าวชายอีกคนที่ทำงานในวันนี้ด้วยกันบอกเส้นทางเพียงครั้งเดียวเขาก็รู้ว่าตนต้องไปทางไหนบ้าง แถมก่อนหน้านี้ก็เคยแอบมาปีนดูจวนตระกูลว่านอยู่ครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงจำทางได้อย่างแม่นยำ

แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือว่าส่วนที่ตนต้องไปดูแลคือบริเวณที่มีเรือนของคุณชายว่านรวมอยู่ด้วย และสิ่งที่บ่าวชายคนนั้นเตือนมาก็มีเพียงว่า

‘หากเจอคุณชายให้ระวังท่าทีของเจ้าให้ดี อย่าไปมองคุณชายมากนัก ยิ่งตรงขาด้วยแล้วยิ่งอย่าไปมอง คุณชายดูสุขุมเยือกเย็นก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใกล้ได้ง่าย และก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ก็แทบไม่มีใครรับมือไหว หากเจอก็แค่ทำความเคารพแล้วทำหน้าที่ของเจ้าต่อไป ถ้าคุณชายเรียกใช้ค่อยทำตามที่เขาสั่ง อย่าไปเสนอหน้าประจบประแจง’

ความจริงแล้วมีอย่างหนึ่งที่บ่าวชายบอกไม่หมด เรื่องที่ว่าก็คือส่วนที่กู่ซิงอีต้องไปดูแลนั้นเป็นอีกฝั่งหนึ่งแต่เขาสลับเองโดยไม่ได้บอก ก็คุณชายว่านน่ากลัวขนาดนั้นแม้นเขาจะเจอคุณชายบ่อยครั้งก็ไม่คุ้นชินเสียที ดียิ่งนักที่วันนี้ได้เด็กใหม่มาทำงาน จึงถือโอกาสเปลี่ยนตำแหน่งการเดินตรวจตราเสียเลย

กู่ซิงอีพอได้ฟังก็เพียงรับคำ

ระหว่างเดินสำรวจจวนก็คิดไปด้วยถึงคำที่บ่าวชายเตือน เรื่องที่ว่า ‘อย่ามองขาของคุณชายว่าน ก่อนคุณชายว่านจะมาถึงจุดที่สุขุมเยือกเย็นขนาดนี้ได้ก็ไม่มีใครรับมือไหว’

ช่วงที่ผ่านมาเขาก็สืบข่าวมาบ้างแล้ว คุณชายว่านไม่ได้พิการตั้งแต่กำเนิด แต่ไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริง ดังนั้นการที่คนผู้หนึ่งเคยเดินได้แต่กลับต้องมาพิการก็เป็นเรื่องปกติที่จะทำใจยอมรับได้ยาก

อีกข้อหนึ่งที่กู่ซิงอีจำขึ้นใจก็คือเรื่องอย่าไปเสนอหน้าให้มากนัก ...หรือว่าแม่นางฉีหย่าจะแสดงเกินหน้าเกินตากว่าคนที่จะมาของานทำออกไปกันแน่นะ นางจึงถูกมองออกตั้งแต่แรก มิน่าคุณชายว่านถึงไม่สนใจแม่นางฉีหย่าเลยสักนิด

ทว่าระหว่างนั้นความคิดของกู่ซิงอีก็ชะงักลงไปเพราะได้ยินเสียงบางอย่างตกลงกระทบพื้นอย่างแรง

เขารีบเดินไปดูจุดที่คิดว่าเสียงน่าจะมาจากทางนั้น ครั้นเมื่อยกโคมไฟในมือส่องไปก็ได้เห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งที่มีล้อติดอยู่ด้วยล้มคว่ำไปข้างหน้า

เอ๊ะ หรือว่า...

เท้าไวเท่าความคิด กู่ซิงอีก้าวเพียงสามก้าวก็ถึงลานกว้างข้างต้นพลับ พอมาถึงจึงเพิ่งจะเห็นคนที่นั่งกองอยู่กับพื้นตรงหน้าเก้าอี้รถเข็นซึ่งถูกบดบังไปในตอนแรก

“คุณชาย...” เขากล่าวเรียกเสียงเบา

ว่านฟู่เฉิงกัดฟันแน่นไม่พูดไม่จา ไม่คิดว่าตนเองจะเลื่อนล้อไปโดนหินจนติดขยับไปไหนไม่ได้ พอขยับไม่ได้แล้วเผลอออกแรงมากไปเลยคว่ำไปด้านหน้าทั้งคนทั้งเก้าอี้ หากเขาไม่ดื้อรั้นแล้วเรียกหลี่เซียวมาด้วยกันก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ หรือหากเมื่อครู่รู้ว่ากำลังแขนของตนเลื่อนรถเข็นออกเองไม่ได้ก็ควรจะตะโกนเรียกหาหลี่เซียวเสียเดียวนั้น

กระทั่งยามที่ล้มแล้วก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องเพราะกลัวเสียหน้า ใครจะไปรู้ว่าบ่าวในจวนจะมาเห็นเข้าพอดี ความอึดอัดผสมปนเปเข้ามาในความรู้สึก แต่ในตอนที่กำมือแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจอยู่กลับพบว่าเก้าอี้รถเข็นของตนถูกยกขึ้นไปแล้ว จากนั้นร่างของเขาก็โดนอุ้มขึ้นมาในภายหลัง

ว่านฟู่เฉิงเบิกตาโตตกใจ เกร็งไปทั้งร่าง มองเห็นพื้นลอยห่างออกไปจากตัวเอง ยังไม่ทันถูกสายลมโอบล้อมอย่างเต็มที่ ตัวเขาก็ถูกวางลงบนเก้าอี้รถเข็นของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กลิ่นหอมที่มีความเปรี้ยวเล็กน้อยกำจายอยู่รอบตัวก่อนจะผละออกไปในทันที ต่อมาก็พบว่าคนที่อุ้มเขาขึ้นมากำลังก้มลงไปหยิบผ้าห่มที่ทำจากผ้าไหมสีฟ้าของเขาขึ้นมาสลัดเศษฝุ่นออกแล้วคลุมขาให้เขาตามเดิม

การกระทำนั้นรวดเร็วมากนัก ไม่ทันให้เขาได้พูดสิ่งใดหรือได้มองว่าคนผู้นั้นแสดงสีหน้าดูแคลนตนหรือไม่ บ่าวชายก็หยิบโคมไฟที่วางกับพื้นขึ้นมาแล้วจากไป

“เดี๋ยวก่อน” เขาเอ่ยเรียกไว้

ความจริงแล้วกู่ซิงอีก็ไม่อยากพบเจ้านายของตนมากนักเพราะกลัวอีกฝ่ายจะจำหน้าได้ แต่พอถูกเรียกก็เลี่ยงไม่ได้จำต้องหันกลับไปทว่าเขาก็ก้มหน้าลงต่ำไว้ตลอด แถมยื่นโคมไฟออกห่างจากตัวเองอีกเล็กน้อย ดึงผ้าคาดที่หน้าผากลงมาต่ำกว่าเดิม แม้นรู้ว่าคงไม่ได้ช่วยพรางใบหน้าตนเองเท่าไรนักก็ตาม “คุณชายมีสิ่งใดให้บ่าวรับใช้ เชิญกล่าวมาได้เลยขอรับ”

“ล้อรถคงใช้งานไม่ได้แล้ว” ว่านฟู่เฉิงกล่าวแค่นั้น ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายพาตนกลับไป ด้วยคิดว่าบ่าวตรวจเวรคนนี้คงเข้าใจว่าต้องทำอย่างไร ที่เขาไม่อยากกล่าวมากความก็เพราะรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยที่ต้องพึ่งพาคนอื่นอีกแล้ว ความจริงก็เสียหน้าตั้งแต่มีคนมาเจอว่าตนเองล้มลงไปกองกับพื้นแล้วนั่นแหละ

ในใจของเขายังมีกองไฟเล็ก ๆ ปะทุอยู่ตลอดเวลา เป็นความรู้สึกอึดอัดที่รู้ว่าบ่าวคนนี้ไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่ตนก็ไม่อาจละทิ้งความรู้สึกโกรธออกไปได้เลย เพราะเมื่อครู่แทนที่เขาจะถูกพยุงขึ้นมาแต่ดันโดนอุ้มอย่างกับสตรีเสียอย่างนั้น จึงยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

ทว่าว่านฟู่เฉิงยามนี้แม้โกรธมากเพียงไรสีหน้าก็ยังคงราบเรียบเยือกเย็น มีเพียงหัวคิ้วที่ชนกันเล็กน้อยเท่านั้นที่พอจะทำให้คนมองออกว่ากำลังอารมณ์ไม่ดี

กู่ซิงอีรับคำ “ขอรับ” แล้วเดินกลับมาที่เดิม เขาวางโคมไฟลงข้างตัวก่อนจะย่อตัวลงมองล้อเก้าอี้รถเข็น พบว่าล้อหลุดออกมาจากข้อต่อจริง ๆ จึงยกมือขึ้นแล้วออกแรงทุบข้อต่อกลับเข้าไปดัง ‘ปั้ก’ เสร็จเรียบร้อยทันที “เรียบร้อยแล้วขอรับ” กู่ซิงอีกล่าวเสียงเรียบ

[1] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-20.59 น.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel