บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 (2.2) ปลาไม่กินเหยื่อ

แผนการที่กู่ซิงอีคิดไว้คือให้ฉีหย่าได้พบกับคุณชายว่านก่อน ดังนั้นเมื่อครู่พอเห็นนางขึ้นรถม้าไปก็เบาใจ แต่ไหนเลยจะคิดว่ารถม้ากลับตรงไปแทนที่จะเลี้ยวเข้าร้านว่าน ทำให้การที่ฉีหย่าจะได้เจอคุณชายว่านนั้นน้อยลงไปยิ่งกว่าเดิม

รถม้าของตระกูลว่านยังคงเคลื่อนที่ช้ามากนักแม้จะเลยจุดที่ผู้คนเนืองแน่นมาแล้วก็ตาม แต่ก็ดีเพราะเหตุนี้ทั้งสองคนถึงได้เดินตามมาได้ทัน ในตอนนั้นก็ได้ยินแม่นางฉีหย่าส่งเสียงพูดไม่หยุด

“คุณชาย รบกวนท่านแล้ว บ่าวไม่เป็นไรมากเจ้าค่ะ พักสักนิดก็หาย ไม่จำเป็นต้องพาบ่าวไปถึงโรงหมอหรอกเจ้าค่ะ” ฉีหย่าพยายามกล่าวเสียงดังให้คนด้านในได้ยิน แม้กระทั่งคำเรียกขานตนเองนางก็เปลี่ยนให้ตนดูต้อยต่ำลง “เป็นบ่าวที่ผิดเอง เพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายวันจึงหน้ามืดเดินไม่ดูทาง”

แม้ว่าน้ำเสียงของนางทั้งนุ่มนวลและอ้อยอิ่งใครได้ยินจำต้องอยากสนทนาด้วยอีกสักหน่อย แต่กลับไร้เสียงตอบกลับมาจากด้านในอย่างที่ควร

“แม่นางรอพบหมอก่อนเถิด ข้าจะมอบเงินค่าเสียหายให้แน่นอน เจ้าจะได้มีเงินไว้ซื้อข้าวกิน” ประโยคนี้เป็นหลี่เซียวที่นั่งข้างกันเป็นคนกล่าวแทน

“ท่านมอบเงินให้บ่าวก็เหมือนมอบปลาให้ข้าหนึ่งตัว แต่ไม่ได้สอนข้าหาปลา...มิสู้ให้บ่าวทำงานที่จวนท่านไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ บ่าวพอที่จะทำงานบ้านเป็นอยู่บ้าง ขอแค่มีข้าวกิน มีที่พักอาศัย บ่าวไม่เรื่องมากเจ้าค่ะ”

กู่ซิงอีพยักหน้าน้อย ๆ ให้กับความฉลาดพูดของนาง แต่ก็พบว่าคนในรถม้าไม่ได้ใจอ่อนเลยสักนิด คนด้านหน้าเองก็เช่นกัน สองนายบ่าวราวกับออกมาจากไข่ใบเดียวกัน

ช่วงเวลานั้นฉีหย่ายังพูดอีกหลายประโยค ทว่าก็ยังไม่ได้ผลเหมือนเคย จนกระทั่งมาถึงโรงหมอในที่สุด นางก็แกล้งเป็นลมสลบไปพิงหลี่เซียวไว้ก่อนจะได้ลงรถม้า

นี่เป็นความเสี่ยงมากกว่าการพูดให้อีกฝ่ายเห็นใจเสียอีก แต่อาจได้ผลนางจึงลองเสี่ยงดู เพราะถ้าเป็นคนไร้จิตใจก็คงปล่อยนางทิ้งไว้ที่โรงหมอ มอบเงินให้แล้วจากไป แต่ถ้ามีคุณธรรมในใจอีกนิดก็จะอยู่รอจนนางฟื้นขึ้นมาเพื่อรอมอบเงินให้ถึงมือนางโดยตรง ยามเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงตอนนั้นก็คงใจอ่อนลงบ้างแล้ว และถ้านางลองขอร้องอีกรอบอาจจะได้ผลก็ได้ นางจึงลองเสี่ยงดู

ผลสุดท้ายคนด้านในก็เอ่ยปากให้พานางกลับไปที่ร้านว่านก่อน และให้หมอมาดูแผลที่ข้อเท้าให้นางด้วย

เสียก็แต่ว่านฟู่เฉิงยังคงใจแข็งปล่อยให้คนสลบนั่งไม่ได้สติอยู่ด้านหน้ารถม้าเหมือนเดิม ปล่อยให้นางพิงหลี่เซียวไว้ทั้งอย่างนั้น

ทว่ากู่ซิงอีก็คิดว่าอย่างน้อยก็ได้กลับไปที่ร้านว่านแล้วจึงหันไปยกยิ้มกับเซี่ยลู่หลินกันสองคน เมื่อทุกอย่างดูเป็นไปตามแผน ดวงตาของเขาทอประกายต่างจากเดิมที่เต็มไปด้วยความเฉยชา แล้วทั้งสองคนก็เดินหายไปจากตรงนั้น

แต่วันต่อมาแม่นางฉีหย่าก็มาขอพบพวกเขาอยู่ที่หน้าจวนตระกูลเซี่ยและเป็นช่วงที่กู่ซิงอีก็แอบย่องมาหาเซี่ยลู่หลินเช่นกัน ทั้งสามคนจึงได้พูดคุยกันพอดี

นางเล่าว่าตนได้เข้าไปทำงานกับตระกูลว่านจริง แต่ดันถูกส่งไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งแทนที่จะได้เข้าไปทำงานในจวนใหญ่

“คุณชายว่านได้พบเจ้าแล้วหรือไม่” เซี่ยลู่หลินรีบถามหลังจากฉีหย่าเล่าจบแล้ว

“พบแล้วเจ้าค่ะ” ฉีหย่าหดหู่เล็กน้อย ตนใช้มารยาที่มีไปจนหมดแต่บุรุษผู้นั้นกลับมีสีหน้าเย็นชาแถมแทบจะไม่ชายตาแลนางเลยสักนิด กล่าวสองสามคำก็ให้คนไปส่งนางที่โรงเตี๊ยมของตระกูลว่าน แถมสั่งให้คนหาที่พักให้นางที่นั้นเลย

“ได้พบแล้ว!” กระต่ายน้อยลู่ตกใจยิ่งกว่าเดิมถึงกับกระโดดโหยงตบโต๊ะลุกขึ้นจากที่นั่ง

เป็นกู่ซิงอีต้องยื่นมือไปดึงนางให้นั่งลงที่เดิม สงวนท่าทีของคุณหนูสูงศักดิ์ไว้เสียหน่อย “ที่จวนตระกูลว่านไม่มีสตรีในวัยไล่เลี่ยกับพวกเราเลย มีแต่หญิงที่เลยวัยแต่งงานไปแล้วทั้งนั้น” กู่ซิงอีพบว่าคุณชายว่านผู้นี้ไม่รู้ระวังตัวเกินไปหรือไม่ชอบความวุ่นวายกันแน่ เขากล่าวเสริมเพื่อสรุปอีกครั้ง “แม่นางฉีหย่า เจ้าทำอย่างไรก็ได้ให้เข้าไปในจวนใหญ่ให้ได้ ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี” เพราะงานวันหมั้นถูกกำหนดแน่ชัดแล้ว ยังดีที่ว่าสองวันก่อนตระกูลว่านขอเลื่อนงานหมั้นออกไปไกลจากเดิมอีกสิบกว่าวัน มิเช่นนั้นอีกสามวันต่อจากนี้คงได้เห็นขบวนของหมั้นถูกส่งมาที่ตระกูลเซี่ยแล้ว แผนการของพวกเขาที่ยังเพิ่งเริ่มต้นคงไม่ทันการณ์

“เจ้าค่ะ” ฉีหย่าที่มารายงานก็รีบปลีกตัวจากไป ตอนนี้นางก็แอบหนีงานที่โรงเตี๊ยมออกมาเหมือนกันจึงรั้งอยู่นานไม่ได้

“นางงดงามขนาดนั้นยังไม่เข้าตาอีกหรือ” เซี่ยลู่หลินยกศอกเท้าโต๊ะเอามือยันแก้มไว้อย่างนึกสงสัย คิ้วขมวดมุ่น มุ่ยหน้าด้วยความไม่เข้าใจ “อาอี เจ้าเห็นว่าอย่างไร” เซี่ยลู่หลินเลิกทำหน้าบูดราวกับพบเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่า แพขนตากะพริบถี่หันมามองสหายของตนด้วยดวงตาเปล่งประกาย

อาอีสหายของนางหน้าตาดีขนาดนี้แต่ไม่เคยมองสาวคนไหนหรือพาใครมาให้รู้จักเลยสักคน ไม่รู้เพราะเอาแต่อยู่คนเดียวมากไป หรืออีกทางนางก็คิดไปแล้วว่าสหายของตัวเองอาจจะไร้ความรู้สึกด้านความรักก็เป็นได้

“เรื่องอะไร” กู่ซิงอีที่มัวแต่กังวลเรื่องของเซี่ยลู่หลินอยู่ก็ไม่ทันฟังประโยคก่อนหน้านี้ที่นางพึมพำออกมา ตอนนี้เลยไม่­เข้าใจที่นางถาม

“แม่นางฉีหย่าไง เจ้าว่านางงดงามหรือไม่” เซี่ยลู่หลินใช้ไหล่น้อย ๆ ไปกะเทาะแขนของคนด้านข้าง อมยิ้มหยอกล้อรอคอยคำตอบ

“ย่อมงดงาม” มิเช่นนั้นตนเองจะเลือกนางมาทำไม แถมยังใช้เงินเก็บไปเกือบทั้งหมด เรื่องนี้คิดถึงทีไรก็ต้องถอนหายใจออกมา หัวใจบีบแน่นทุกครั้งไป

“แล้วเจ้าชอบนางหรือไม่” คราวนี้เซี่ยลู่หลินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ถามด้วยความจริงจัง ดวงตาจ้องมองกู่ซิงอีไม่วางตาแถมรอยยิ้มยังเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้นอีกเท่าตัว

“ข้าจะไปชอบนางได้อย่างไร ไม่เคยได้อยู่ด้วยกัน ไม่เคยเรียนรู้กัน และตอนแรกที่พานางมาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องส่งตัวนางไปให้ผู้อื่นจึงไม่เคยคิดเกินเลย” กู่ซิงอีแทบไม่ต้องคิดก็สามารถตอบออกไปได้ทันที มือก็ยกขึ้นดันหัวของสหายกลับไปตั้งตรงที่เดิม

“เหอะ เจ้านี้ด้านชาเสียจริง นางงดงามเช่นนั้นใครพบเจอต้องตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นแล้ว เอ๊ะ ! แต่ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด คุณชายว่านอาจเป็นแบบเจ้าก็ได้ เขาถึงได้ไม่สนใจนางเลยสักนิด”

กู่ซิงอีไม่ได้สนคำที่สหายบ่นตน กลับพูดออกมาแค่ว่า “ดังนั้นถึงต้องรีบให้นางเข้าไปทำงานในจวนให้ได้อย่างไรเล่า!”

.........

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel