บทที่ 10 (2.2) ถึงทางตันแล้ว
“กลับได้แล้วข้าจะเข้านอน” ว่านฟู่เฉิงปรับน้ำเสียงให้เข้มขึ้น ใช้ปลายพู่กันจิ้มไปที่หน้าผากของคนที่เกือบจะเอาหน้าจุ่มแท่นฝนหมึกไปหนึ่งที
“คุณชายว่าน...” กู่ซิงอีสะลึมสะลือเรียกเจ้าของห้องเสียงเบา ลุกขึ้นเดินไปทางหน้าต่างปีนออกไปทั้งที่ตายังลืมขึ้นมาแค่ส่วนเดียวดูเหมือนไม่ได้สติ
ว่านฟู่เฉิงที่มองตามนึกกลัวว่าเขาจะสะดุดเข้าสักทีจนล้มเจ็บตัวไป ที่ไหนได้กลับพบว่ากู่ซิงอีที่กำลังจะจากไปได้กล่าวฝันดีเขาออกมาหนึ่งประโยคพร้อมยกยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าแสงแดดมาให้
ในน้ำเสียงเนิบนาบแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังง่วงงุนอยู่จริง ๆ และอาจเพราะเสียงที่ค่อนข้างเบาราวกับลอยมาตามสายลมทำให้คนฟังรู้สึกคันยุบยิบที่ข้างหูลามเลียให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหนึ่งครั้ง
การกระทำนั้นของกู่ซิงอีทำให้ว่านฟู่เฉิงนั่งเหม่อไปนาน จ้องมองบานหน้าต่างที่ไร้โจรถ่อยในชุดฟ้าไปนานแล้ว
ที่ผ่านมาทุกครั้งก่อนจากไปกู่ซิงอีมักจะพูดฝันดีกับเขาเสมอ
หึ ประโยคฝันดีนั้น เขาไม่ได้ยินมานานเท่าไรแล้วนะ...
..........
รุ่งอรุณมาเยือน แสงสีทองสาดส่องประกายจนเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถขับไล่น้ำค้างยามเช้าตรู่ให้เหือดหายไปทั้งหมด
กู่ซิงอีตื่นค่อนข้างสายเพราะเมื่อวานกลับดึกมากนัก กว่าจะออกจากจวนตระกูลว่านมาก็เลยค่อนคืนไปมากแล้ว แถมบ้านของเขายังอยู่ท้ายเมืองอีกต่างหาก จึงใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน
วันนี้ตัวเขาคิดจะอยู่บ้านเงียบ ๆ สักหน่อย หลายวันที่ผ่านมาเจอผู้คนรอบกายเยอะเกินไป รู้สึกราวกับจะป่วยเสียให้ได้ แถมเมื่อคืนก็ถูกว่านฟู่เฉิงแกล้งมาอีก กว่าจะล้างหมึกบนหน้าออกได้เขาก็เกือบจะหลับคาอ่างล้างหน้าไปแล้ว
“หึ” กู่ซิงอีนึกแล้วก็หัวเราะแผ่วเบาไม่คิดว่าคนที่ชอบตีหน้านิ่งคิ้วขมวดแบบคุณชายว่านจะชอบแกล้งผู้อื่นแบบนี้ด้วย “ช่วงนี้สบายเลยนะ” คราวนี้กู่ซิงอีคุยกับลาของตนเองพลางสุมหญ้าสีเขียวสดใหม่ซึ่งเพิ่งไปเก็บมาเมื่อครู่ใส่ลงไปในกระบะของเจ้าลา
เจ้าลาตัวนี้ของเขาสบายที่สุดแล้ว นาน ๆ ครั้งถึงจะได้ลากสุราไปส่งกลางเมืองสักที เพราะหวังเฉียวที่ทำหน้าที่รับสุราไปขายให้มักจะร้อนใจมารับสุราที่บ้านเขาเองอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเตรียมรถขนของมาขนเอง ยกขึ้นเอง แล้วก็เอาไปขายเอง ดังนั้นเจ้าลาตัวนี้จึงแทบจะอ้วนเป็นหมูอยู่แล้ว
กู่ซิงอีลูบขนบนหัวของเจ้าลาแผ่วเบา แต่ในตอนนั้นก็ต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เมื่อประตูรั้วบ้านถูกกระแทกออกอย่างแรง เขาแทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นผู้ใด มีแค่สามคนเท่านั้นที่รู้ว่าบ้านเขาตั้งอยู่แห่งหนตำบลใดในใต้หล้านี้
หนึ่งคือคนมารับสุราไปส่งให้เขานามหวังเฉียว สองคือสหายของผู้เฒ่าเว่ย สามคือสหายคนสนิทที่ตอนนี้กำลังมีเรื่องทุกข์ใจ
แต่คนที่ไร้มารยาทเช่นนี้...เอ่อ...หรือจะกล่าวให้สุภาพหน่อยว่า ‘สนิทชิดเชื้อจนเกินพอดี’ ถึงขั้นทำลายประตูรั้วบ้านผู้อื่นแบบนี้ได้ก็คงหนีไม่พ้นเซี่ยลู่หลินเป็นแน่
กู่ซิงอีเดินมาจากหลังบ้านที่เป็นคอกลาเพื่อออกมาดูว่าคนที่พังประตูรั้วเข้ามาใช่คนที่ตนคิดหรือไม่
“เสี่ยวลู่” คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้แปลกใจมากนักที่เป็นนาง และไม่ได้ตกใจกับท่าทางกระโดกกระเดกของอีกฝ่าย ทว่าหัวใจกลับเต้นผิดจังหวะคล้ายลางบอกเหตุบางอย่างที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตน แต่ก็กลับทำให้ใจของเขากระสับกระส่ายอย่างแปลกประหลาดได้
“อา...อี!” เซี่ยลู่หลินหอบหายใจหนัก วิ่งพรวดเข้ามาจับแขนของเจ้าของบ้านไว้แน่น ทั้งที่เหนื่อยมากขนาดนี้แล้วแต่ก็ยังพยายามใช้แรงที่เหลือทั้งหมดเพื่อจับกู่ซิงอีเขย่าตัวไปมา
กู่ซิงอีราวกับเห็นภาพเดิมซ้อนทับกับวันวานที่สหายมาหาตนแต่เช้าตรู่ขนาดนี้ ใบหน้าของอีกฝ่ายแดงก่ำจากการออกแรงวิ่งมาไกล เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายเต็มกรอบหน้าของนาง ปากก็หอบหายใจเอาลมเข้าไประลอกแล้วระลอกเล่า ดูก็รู้ว่ารีบร้อนมาจนเกือบจะหมดลมแต่ก็ไม่วายมีแรงเขย่าตัวเขาถึงขนาดนี้ กู่ซิงอีตัวโงนเงนตามแรงดึงรั้ง ภาพด้านหน้าก็สั่นไหวเล็กน้อยชวนตาลายยิ่งนัก
“เกิดเรื่องอะไรอีก ท่าทางรีบร้อนเชียว” กู่ซิงอีพูดไปเสียงก็สั่นไปด้วยเพราะอีกฝ่ายยังเขย่าตัวเขาไม่เลิก แต่คนเขย่ากลับไม่มีแรงเอ่ยคำใดตอบเขากลับมา
ดวงตาคู่งามพลันหรี่ลงด้วยความสงสัย ดูจากสีหน้าของเซี่ยลู่หลินแล้วคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างเช่นว่าคุณชายว่านมาขอยกเลิกงานหมั้นแล้วเป็นแน่
เมื่อไม่กี่วันก่อนก็กำหนดงานหมั้นไปเรียบร้อยแล้วว่าจะจัดขึ้นต่อจากวันนี้อีกหนึ่งอาทิตย์ ดังนั้นมีสองสาเหตุคือกำหนดวันแต่งงานอย่างแน่ชัดกับเลื่อนวันหมั้นเข้ามาอีกรอบ ทว่ายังไม่ได้ทันหมั้นหมายเช่นนั้นเรื่องงานแต่งจึงถูกตัดทิ้งไป เหลือเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น กู่ซิงอีสรุปในใจจนแน่ชัดแล้วถึงเอ่ยออกไป “เลื่อนงานหมั้นหรือ”
เซี่ยลู่หลินพยักหน้าหงึกหลายทีจนผมที่ไม่เป็นทรงยิ่งจะหลุดออกจากรูปแบบเดิมเข้าไปใหญ่ นางรู้อยู่แล้วว่ากู่ซิงอีเป็นคนช่างสังเกตไม่ต้องรอให้นางมีแรงพูดกับเขาอีกฝ่ายก็คงรู้แน่ พอสหายกล่าวมาตามที่นางต้องการบอกออกไปนางก็ส่งสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือเพิ่มไปอีกหน่อย
“คุณชายว่านเร่งรีบเพียงนี้เชียว...” ประโยคนี้กู่ซิงอีพึมพำกับตนเอง พลางคิดไปว่าที่คุณชายว่านรีบร้อนเพราะตนไปตอแยให้ยกเลิกงานหมั้นจนนึกหมั่นไส้เลื่อนวันมาเร็วขึ้นอีกหรือไร แต่คุณชายว่านก็เลื่อนมาแล้วรอบหนึ่ง หากเลื่อนอีกก็ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเอาไปพูดให้เสียหายน่ะสิ พอเขากล่าวมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกได้ว่าเซี่ยลู่หลินเลิกเขย่าตัวเขาแล้ว และเริ่มส่ายหน้าเป็นลูกป๋องแป๋งแทน กู่ซิงอีพลันเข้าใจทันที “เป็นบิดาเจ้า” ครั้นพอกล่าวถึงบิดาของเซี่ยลู่หลินออกมาเขาก็หายใจไม่ทั่วท้อง
คราวนี้เซี่ยลู่หลินสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม ก่อนจะพยักหน้าหนักแน่น
ทั้งสองคนย่อมรู้ดีว่าบิดานางน่ากลัวขนาดไหน พอเอ่ยถึงบุคคลที่ตนเองต่างเกรงกลัวทั้งคู่ก็มีสีหน้าไม่สู้ดีกันเท่าไร
หากบิดาเซี่ยลู่หลินเป็นคนมีเมตตาอีกหน่อยกู่ซิงอีคงไปโน้มน้าวอีกฝ่ายแล้ว แต่จากการกระทำที่คอยกีดกันทั้งสองไม่ให้สนิทชิดเชื้อกันจนแทบจะส่งคนมาสังหารตนเองนั้นจึงเป็นไปได้ยาก
“เป็นวันพรุ่งนี้” เซี่ยลู่หลินกล่าวเสียงแหบพร่า พูดจบก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก
“ฮะ! ทำไมรวดเร็วปานนั้น ยังคิดว่าต่อให้เลื่อนมาก็คงอีกสี่ห้าวันเสียอีก บิดาเจ้าไม่ดูฤกษ์ดูยามเลยหรือไร” แม้นไม่ใช่เรื่องของตนแต่พอได้ยินก็อดตกใจมิได้
เซี่ยลู่หลินส่ายหน้า “ท่านพ่อบอกว่างานหมั้นไม่สำคัญ ค่อยเอาใจใส่ฤกษ์มงคลของวันแต่งงานก็พอ”
“งานหมั้นบุตรสาวจะไม่สำคัญได้อย่างไร” พอกล่าวจบก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคือนายท่านเซี่ยที่ไม่สนสี่สนแปดผู้นั้น จึงถอนหายใจออกมา เดินพาเสี่ยวลู่มานั่งลงที่เก้าอี้ไม้ไผ่กลางลานบ้าน
บนโต๊ะมีกาน้ำชาที่ถูกเขาต้มไว้เมื่อไม่นานยังคงร้อนอยู่
ไม่รู้ผู้ใดเป็นคนกล่าว มันนานเสียจนกู่ซิงอีไม่แน่ใจ เพียงแค่จำได้ว่าหากกำลังร้อนใจให้รินชาดื่มสักจอก พอได้ดื่มชาแล้วก็จะใจเย็นลง สามารถมองหาหนทางได้อีกครั้ง ดังนั้นกู่ซิงอีจึงตั้งใจรินชาอย่างเชื่องช้าให้ตนเองและให้เสี่ยวลู่
“อาอี ข้าควรทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากโกหกคนรักของข้าอีกแล้ว แต่หากบอกเขาไปว่ากำลังจะหมั้นหมายกับผู้อื่นเขาจะรู้สึกเช่นไร” ใจของเซี่ยลู่หลินเต็มไปด้วยความกังวลยามรับน้ำชามาจากสหายก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนถือสิ่งใดอยู่
“หากเจ้าไม่หนี ก็ต้องเป็นอีกคนที่หนี...” กู่ซิงอีมีแผนร้อยแปดแผนที่เคยวางไว้ แต่กลับไม่ได้นำออกมาใช้เพราะคิดว่าลองประนีประนอมด้วยการเกลี้ยกล่อมดูก่อน ทว่ายามนี้คงต้องรื้อแผนเดิมที่โยนทิ้งไปกลับมาใช้เสียแล้ว
ด้านคนฟังกลับไม่เข้าใจ จึงได้แต่เบิกตากลมโตมองสหายของตน ชั่วอึดใจก็ได้เห็นแววตาคมกล้าของกู่ซิงอีเข้าพอดี นึกสงสัยอยู่ชั่วครู่ว่าตนมองผิดไปหรือไม่ และกำลังคิดว่าอีกคนที่หนีหมายถึงใคร หมายถึงคนรักของนางหรือ?
จนกระทั่งวันต่อมาเซี่ยลู่หลินถึงได้รู้ว่าอีกคนที่สหายกล่าวถึงคือผู้ใด
และแม้นว่านางจะเป็นสหายของกู่ซิงอีมานาน แต่กลับไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหาญกล้าเทียมฟ้าท้าดินถึงขั้นที่ว่าตัวนางก็จินตนาการไม่ออกว่ากู่ซิงอีจะยอมเสี่ยงขนาดนั้นเพื่อตนจริง ๆ
.............
