บทที่ 1 (3.4) ยังมิทันพ้นวัน ข่าวก็แพร่กระจายออกไปไกล
เมืองจางแห่งนี้ข่าวไปไวยิ่งนัก เสี่ยวลู่บอกกับเขาว่าตนได้รับการทาบทามเมื่อวานตอนเช้า แต่บิดาเพิ่งบอกนางตอนหัวค่ำ ใจนางร้อนรนอยากมาหาเขาตั้งแต่ยามดึกแล้วแต่ติดที่หาจังหวะหนีออกมาไม่ได้ พอรุ่งสางของวันนี้ถึงแอบออกมาได้ในที่สุด
พอคำนวณดูนี่ยังไม่ทันพ้นวันด้วยซ้ำ ข่าวลื่อก็ดังไปทั่วเมืองแล้ว เห็นทีเรื่องนี้ก็คงยุ่งยากไปอีกเท่าตัว
“ไม่แปลกหรอก ทั้งสองตระกูลเป็นตระกูลพ่อค้าเหมือนกัน ร่ำรวยพอ ๆ กัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ข้าเองก็คิดว่าในสักวันต้องได้เห็นงานมงคลที่เอิกเกริกสักครั้งเช่นกัน วันนี้ก็มาถึงแล้ว!”
“ฮ่า ๆ เจ้าหวังดื่มสุรามงคลสิท่า”
“ทั้งสองตระกูลร่ำรวยขนาดนั้น แถมตระกูลว่านและตระกูลเซี่ยก็รักหน้ารักตามากกว่าใคร จัดงานทั้งที คงเลี้ยงคนทั้งเมือง!”
“เจ้าก็กล่าวเกินไป ยังต้องไว้หน้าวังหลวงอยู่บ้าง คงต้องบอกว่าเลี้ยงคนเกินครึ่งเมืองแทน!”
“ฮ่า ๆ”
กู่ซิงอีได้ฟังก็หัวเราะเสียงเยียบเย็นในใจ มือบีบจอกชาแน่นขึ้นทันที
หึ สุราหรือ ไว้ไปขอของข้าดื่มแทนแล้วกัน!
งานแต่งในครั้งนี้ไหนเลยจะลำบากให้พวกเจ้าลากสังขารมาดื่มสุรามงคล เพราะมันจะต้องไม่เกิดขึ้น!
กู่ซิงอีหันมองไปทางนั้นด้วยความไม่พอใจ จดจำใบหน้าของบุรุษสามคนไว้ในใจ อารมณ์ไม่ดีราวกับตนเองเป็นคนที่ถูกบังคับตบแต่งเสียเอง
ชั่วอึดใจต่อมาโต๊ะอีกฝั่งที่ตั้งไม่ไกลจากจุดที่สามคนนั้นนั่งอยู่ก็มีบุรุษสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน เมื่อได้ยินบทสนทนาโต๊ะอื่นจึงเริ่มคุยกันบ้าง
“ความจริงคุณชายว่านก็ถึงเวลาที่ควรแต่งงานได้ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว แต่เดิมข้ายังคิดว่าที่เขาไม่แต่งฮูหยินสักทีเพราะไม่มีสตรีที่ถูกใจ หรือไม่ก็เพราะไม่มีใครอยากแต่งกับเขาเสียอีก ดูเอาเถิด มีเพียงฟ้าดินที่ล่วงรู้ ไม่ทันไรก็มีข่าวดีเสียแล้ว”
“ชิ ๆ ๆ เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไร จะไม่มีใครอยากแต่งให้เขาได้อย่างไร ต่อให้ขาพิการก็เถอะ แต่เงินของคุณชายว่านมีกินมีใช้ได้กี่ชาติเจ้าคงจินตนาการไม่ได้แน่! หากข้าเป็นสตรีที่งดงามคงต้องไปหลอกล่อเขาแล้ว!” พอกล่าวถึงประโยคท้าย ๆ ก็เจือแววขบขันมาด้วย
“เอ๊ะ! หรือที่คุณชายว่านมิแต่งงานเสียทีเป็นเพราะอาจชอบบุรุษด้วยกัน”
“นี่! วันนี้เจ้าลืมพกหัวออกมาจากบ้านด้วยหรือไร เรื่องเช่นนี้มาพูดโต้ง ๆ ได้เสียที่ไหน” มิใช่ว่าตัวเขาไม่เคยคิด ย่อมคิดมาก่อนแล้วแต่ไม่กล้าพูด คุณชายว่านแม้จะเป็นคนที่รักษาชื่อเสียงด้านดีไว้ตลอดแต่ไม่มีใครไม่รู้ว่าคนผู้นั้นมีอำนาจในมือกว้างขวางขนาดไหน แน่นอนว่าไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัว
กู่ซิงอีทั้งหงุดหงิดทั้งหนวกหู หยิบเงินออกมาวางไว้ที่โต๊ะแล้วลุกเดินหนีออกจากร้านไป
เสี่ยวเอ้อที่ยืนรับลูกค้าอยู่พอเห็นเขาไปแล้วก็กล่าวขอบคุณอยู่สองสามที
แต่กู่ซิงอีก็เดินไปไม่ไกลนัก เอ่อ...เอาเข้าจริงคือกู่ซิงอีไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านว่านเลยต่างหาก
ในตอนนี้ก็เพิ่งจะหยิบเงินจ่ายค่าน้ำตาลปั้นที่เพิ่งกัดเข้าปากไป ตัวน้ำตาลหวานหอมมีกลิ่นเฉพาะ คราแรกแข็งเล็กน้อยแต่พอความหวานกระจายไปทั่วปากก็พาให้อารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่เจือจางลงไปได้พอสมควร
อีกทั้งในกลิ่นไอของลมหายใจที่มีกลิ่นหอมเจือจางจากสุราเมื่อวานที่เขาดื่มไปก็กำจายออกมา เมื่อผสมกับความหวานของน้ำตาลเคี่ยวจนได้ที่ก็ทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมากกว่าเดิม
ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ขนมจะทำให้เขาผิดหวัง!
กู่ซิงอีพลันหยุดเคี้ยวเพื่อทำให้เสียงในหูเงียบลงไปก่อน เพราะเพิ่งนึกถึงคำพูดที่คนในร้านน้ำชากล่าวเมื่อครู่ขึ้นมาได้พอดี เขายืนทบทวนทุกอย่างในใจเงียบ ๆ
ก่อนจะพึมพำกับตนเองแผ่วเบาว่า “หากตนเป็นสตรีงดงามจะไปหลอกล่อ” คิ้วได้รูปพลันยกขึ้นเล็กน้อย คิดแผนบางอย่างไว้ในใจ ก่อนจะนึกถึงบทสนทนาที่เหลือ “ชอบบุรุษ...เรื่องนี้คงไม่”
“เอ๊ะพ่อหนุ่ม กลิ่นบนตัวเจ้าเป็นกลิ่นอะไรกัน”
แม่ค้าขายน้ำตาลปั้นได้กลิ่นหอมสดชื่นก็เอ่ยทัก คราแรกนางยังคงไม่ได้กลิ่นอะไรแต่อาจเพราะลมของสารทฤดูที่พัดผ่านมาเมื่อครู่ทำให้ได้กลิ่นเข้าพอดี
กู่ซิงอีที่ถูกถามก็ไม่แน่ใจว่าตนมีกลิ่นอะไร ทำหน้าสงสัยก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นดม อาจด้วยความเคยชินกับกลิ่นบนกายเขาเลยไม่เคยสังเกต แต่พอตั้งใจดมก็รู้ว่าที่ท่านน้าขายน้ำตาลปั้นถามถึงคือกลิ่นใด “กลิ่นสุราหมักกระมัง”
“สุราแสงจันทร์?”
“ท่านน้า! ท่านปราดเปรื่องยิ่งนัก” กู่ซิงอียอมรับเลยว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้นมาหนึ่งจังหวะ คล้ายโดนจับได้ว่าตนเป็นใคร คล้ายว่ามีคนจมูกดีจนถึงขั้นจดจำสุราของตนเองได้ และอาจเป็นความปลื้มปิติระลอกหนึ่งที่ไหล่ผ่านหัวใจ จึงเผลอแย้มยิ้มโดยไม่รู้ตัว
เสื้อคลุมตัวนอกตัวนี้เป็นชุดเดียวที่เขามี เมื่อวานกู่ซิงอีใส่หมักสุราแล้วก่อนนอนก็ถอดไปผึ่งลมไว้ แต่ดันผึ่งอยู่ในโรงเก็บสุรา กลิ่นเลยติดมาค่อนข้างมาก
