บท
ตั้งค่า

4.แล้วเจอกัน

*** ทักทายคร้า ***

ร่างสูงสง่าของราม เซสฟรานโก้ นั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน สายตามองไปที่ประตู ร่างสูงเพรียวของหลานชายเปิดประตูเข้ามา ตามด้วยอนุชิต

รามขยับตัวลุกขึ้น เดินไปหยุดที่หน้าต่างบานใหญ่ สายตามองฝ่าไปในความมืด

“วันนี้ไปสร้างเรื่องอะไรมาอีกเมอร์ฟี่” เสียงเข้มของผู้เป็นอาดังขึ้น ทำให้เมอร์ฟี่ออกอาการไม่พอใจ

“อารู้เรื่องหมดแล้วมาถามผมทำไม” เมอร์ฟี่สวนกลับไป ร่างสูงสง่าหันกลับมาเผชิญหน้าทันที

“แต่อาอยากฟังจากปากของนาย วันๆ ทำไมถึงขยันสร้างเรื่องนัก ถ้าคนที่นอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลตอนนี้เป็นนาย แล้วจะทำยังไง”

“อาสนใจด้วยเหรอว่าผมจะเป็นยังไง ทุกวันนี้อาสนใจแต่งาน จนไม่รู้เลยว่าคนรอบข้างเขาต้องการอะไร” เสียงต่อว่าของเมอร์ฟี่ทำให้รามเจ็บแปลบที่หัวใจ มือใหญ่กำเข้าหากันแน่น ดวงตาสีฟ้าเข้มสบตาผู้เป็นอาด้วยความปวดร้าว

“นายก็รู้ ทุกวันนี้ฉันทำงานหนักก็เพื่อนาย” รามพยายามบอกอย่างใจเย็น

“ไม่จริง อาทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น อาเลี้ยงผมด้วยเงินมาตลอด อาไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าวันๆ ผมทำอะไร ผมจำได้ว่าผมกับอากินข้าวด้วยกันแทบจะนับครั้งได้ แล้ววันนี้เกิดอยากสนใจชีวิตของผมขึ้นมาทำไมไม่ทราบ” เมอร์ฟี่เอ่ยเสียงกวนอารมณ์ผู้เป็นอาในตอนท้าย

รามเม้มปากแน่น ไม่โต้ตอบอะไรออกไป สายตาจับจ้องไปที่กรอบรูปใหญ่บนผนังห้องซึ่งเป็นรูปครอบครัวพี่ชายของเขา เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักน่าชังคือคนที่กำลังยืนต่อว่าเขาอยู่ในขณะนี้

“เมอร์ฟี่” รามตรงเข้าไปหาร่างสูงเพรียวที่ลุกขึ้นทันทีที่เขาขยับตัว อนุชิตเดินเข้ามาขวางไว้

“ค่อยๆ พูดกันได้ไหมทั้งสองคนนั่นแหละ นายก็เหลือเกินเมอร์ฟี่ นั่งลง รามด้วย” อนุชิตพูดเสียงดัง มองอาหลานที่ยืนหันหลังให้กัน รามเดินอ้อมมานั่งที่โต๊ะทำงาน

“แล้วอาการเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง” รามถามถึงคนเจ็บคู่อริของหลานชายที่ถูกซ้อมอาการปางตาย

“ตอนนี้ยังอยู่ในห้องไอซียู แต่หมอยืนยันว่าปลอดภัย” อนุชิตตอบแล้วหันไปมองเมอร์ฟี่ที่ยืนเงียบอยู่ใกล้หน้าต่าง

“แล้วนายเป็นยังไงบ้าง” รามมองลำแขนเรียวขาวที่พ้นแขนเสื้อออกมามีรอยจ้ำเขียวที่ข้อศอก เมอร์ฟี่เงียบ สายตามองออกไปด้านนอก ก้อนเหนียววิ่งมาจุกที่ลำคอเมื่อได้ยินเสียงของอาหนุ่ม

เมอร์ฟี่รับรู้ถึงความห่วงใยในน้ำเสียงนั้น แต่เขาเองก็อยากได้ยินจากปากผู้เป็นอามากกว่า ดวงตาคมสีฟ้าเข้มมองแผ่นหลังกว้างด้วยแววตาห่วงใย แต่เด็กหนุ่มไม่มีโอกาสได้เห็น

“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เรนพร้อมกับการ์ดอีกสองคนจะดูแลนายจนกว่าอาชิตจะจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อย” สิ้นเสียงผู้เป็นอา เมอร์ฟี่หันขวับกลับมาทันที

“ไม่ต้อง ผมดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งอา”

รามหรี่ตามองใบหน้าคมสันที่ถอดแบบมาจากพี่ชายเขาเกือบทั้งหมดด้วยความหนักใจ

“อามีทางเลือกให้นายอยู่สองทาง ทางแรกอาบอกไปแล้วเมื่อกี้ ส่วนทางที่สอง นายมีอิสระที่จะทำทุกอย่างได้ แต่ต้องเข้าไปฝึกงานที่บริษัทอาทิตย์ละสองวัน เลือกเอาเองว่าต้องการแบบไหน”

อนุชิตยิ้มในความเจ้าเล่ห์ของนายใหญ่แห่งเซสฟรานโก้

“อามีวิธีบีบผมให้เลือกทางที่อาต้องการอยู่แล้วนี่” ว่าแล้วร่างสูงก็เดินผ่านหน้าผู้เป็นอา เปิดประตูออกไป

“เดี๋ยว นั่นจะไปไหน” รามถามเสียงเข้ม แววตามองหลานชายอย่างเป็นห่วง แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ก่อนจะแทนที่ด้วยสายตาเย็นชา

“ห้าวันชีวิตเป็นของผม อีกสองวันผมยกให้อา” เมอร์ฟี่พูดเสียงห้วน ก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่แล้วขับออกไป โดยไม่สนใจจะหันหลังกลับไปมองอาการหงุดหงิดของคนที่อยู่ข้างหลัง

“ไอ้อาไม่สั่งสอน” รามทุบโต๊ะแรงๆ พึมพำกับตัวเอง มือใหญ่คว้าโทรศัพท์สั่งงานลูกน้องคนสนิทให้ตามคุ้มครองหลานชายทันที

“ฮ่าๆ ๆ ดีโว้ยที่รู้ตัว” อนุชิตได้ยินถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่นานก็ต้องหุบลงเมื่อสบตาเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย

“ไม่มีหลานเลี้ยงก็แล้วไป” รามพูดเสียงลอดไรฟัน อนุชิตเดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

“เอาน่า เด็กวัยรุ่นก็งี้แหละ แล้วจะคอยดูให้ ไม่ต้องห่วง” อนุชิตรับปาก เพราะครอบครัวของเขาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองคนในตระกูลเซสฟรานโก้มาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยคุณปู่ของเขา และครอบครัวของอนุชิตก็มีหุ้นในเซสฟรานโก้ไม่น้อย

อนุชิตและรามเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ส่วนรอนพ่อของเมอร์ฟี่แต่งงานตั้งรกรากอยู่ที่รัสเซียตั้งแต่เรียนจบ จึงทำให้อนุชิตไม่ค่อยสนิทกับรอนมากนัก

“เรื่องประชุมนักธุรกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกกลิ่นไม่ค่อยดีเท่าไร ฉันอยากให้นายระวังตัวด้วย มือปืนหลายซุ้มเริ่มเคลื่อนไหว” อนุชิตเดินไปรินน้ำสีอำพันส่งให้ราม ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่

“พวกมันต้องการอะไร” รามถามเสียงเรียบ เทน้ำสีเหลืองลงคอพรวดเดียวหมดแก้ว

“สร้างชื่อเสียงเพื่อหาเงินสนับสนุนเรื่องอื่น กำลังสืบ อีกสองวันคงได้เรื่อง” อนุชิตบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ฉันคือเป้าหมายของพวกมัน?” รามถามพลางสบตากับหัวหน้าบอดี้การ์ดและหุ้นส่วนของตระกูล

“ใช่! นายคือเป้าหมายของพวกมัน ทางตำรวจเองก็คงจัดกำลังมาไม่น้อย” อนุชิตนั่งเอนหลังกับพนักโซฟาตัวใหญ่ พลางผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

“ถ้ามันกล้าก็ให้มันเข้ามา” รามเอ่ย ดวงตาคมลุกวาวอย่างน่ากลัว

“วันนี้ฉันไปเจอตำรวจหญิงคนนึง สวย น่ารักมาก แล้วที่สำคัญ เธอสามารถทำให้เมอร์ฟี่กินข้าวกล่องจนหมดได้” คิ้วหนาขมวดเป็นปมกับสิ่งที่ได้ยิน รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ถึงชายหนุ่มจะมีเงินมากมายแต่เขายังติดดินเสมอ เวลาที่ต้องไปดูงานเขาก็มีโอกาสได้กินอาหารพวกนั้นบ้าง

เมอร์ฟี่เติบโตมาท่ามกลางความรักของผู้เป็นย่า หลังจากพี่ชายเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกพร้อมภรรยา ทิ้งหลานชายอายุห่างจากเขาสิบปี ให้เขาและแม่ต้องดูแล ชายหนุ่มเองไม่ค่อยมีเวลามากนักที่จะเลี้ยงดูหลานชายตัวน้อย เพราะต้องสานต่อธุรกิจจากพี่ชาย ตอนเด็กๆ เมอร์ฟี่ติดเขาแจไม่ยอมห่าง ใครบอกก็ไม่ยอมฟัง มีเพียงเขาคนเดียวที่ปราบได้ เมื่อโตขึ้นเมอร์ฟี่จึงขออนุญาตผู้เป็นย่ามาอยู่เมืองไทยกับเขา

“เมอร์ฟี่คงอยากเปลี่ยนบรรยากาศมั้ง” รามตอบ ใบหน้าคมก้มอ่านเอกสารที่วางค้างอยู่บนโต๊ะ

อนุชิตลุกขึ้นเดินไปที่ประตู แต่ก็หันกลับมาหาคนที่นั่งอยู่ในห้อง

“เชื่อไหม เธอมองทั้งนายและเมอร์ฟี่ได้อย่างทะลุปรุโปร่งโดยที่ยังไม่รู้จักนายด้วยซ้ำ”

รามละสายตาจากเอกสาร มองไปที่อนุชิตอย่างไม่เข้าใจ

“เพราะเมอร์ฟี่คือตัวของนาย” อนุชิตเปิดประตูอย่างรวดเร็ว ไม่อยากเห็นสายตาพิฆาตของเจ้านายหนุ่ม ส่วนอาการของคนที่อยู่ในห้อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเดือดมากแค่ไหน กว่าอารมณ์จะกลับมาจดจ่ออยู่กับงานได้ก็นานพอสมควร

“คงได้มีโอกาสเจอกันแน่ แม่ตำรวจสาว” รามคิดอย่างมาดหมาย ก่อนจะนั่งทำงานต่อจนดึก หูก็คอยฟังเสียงรถของหลานชายว่ากลับมาหรือยัง

*** ขอบคุณคร้า ***

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel