3อดีตแสนเจ็บปวด
*** ทักทายคร้า *** ไปต่อกันเลยคร้า
ปานระพีเดินเข้ามาหยิบเอกสารที่ห้องทำงาน เพื่อที่จะเอากลับไปทำงานที่ห้องพัก หญิงสาวยิ้มให้กับนายตำรวจคนอื่นๆ ที่เข้าเวรอยู่ ร่างสูงโปร่งเดินไปยังลานจอดรถหน้าสถานี
“เพิ่งกลับหรือครับผู้กอง” เสียงหมู่อ่ำดังมาจากข้างรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ไม่ไกล ร่างสูงใหญ่ในชุดตำรวจก้มๆ เงยๆ อยู่กับมอเตอร์ไซค์คันเก่า
“รถเป็นอะไรล่ะหมู่อ่ำ” หญิงสาวเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
“สงสัยหัวเทียนมันเก่าน่ะครับ เลยสตาร์ตไม่ติด” หมู่อ่ำบอกพลางลุกขึ้นลองสตาร์ตอีกครั้ง แต่ก็ยังคงแชะๆ เหมือนเดิม
“จอดทิ้งไว้นี่แหละเดี๋ยวฉันไปส่งเอง”
หมู่อ่ำยิ้มอย่างขอบคุณ ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ไว้ใต้เบาะนั่ง
“เอางานกลับไปทำอีกแล้วเหรอครับผู้กอง” ลูกน้องคนสนิทหันไปมองเบาะหลังรถฟอร์จูนเนอร์คู่ใจของผู้กองสาว
“คดีเยอะขึ้นทุกวัน กลัวทำไม่ทันน่ะหมู่” เธอบอกหลังจากรถเคลื่อนตัวออกจากหน้าสถานี ตรงไปยังแฟลตตำรวจที่อยู่ไม่ไกล
“วันนี้ดูผู้กองสนใจเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นพิเศษนะครับ” หมู่อ่ำเอ่ยถาม สายตาเพ่งมองไปยังถนนข้างหน้า ปานระพีถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนจะผ่อนคลายสิ่งที่เก็บงำไว้ให้ระบายออกมา
“คิดถึงเรื่องนั้นอยู่เหรอครับผู้กอง” หมู่อ่ำหันไปมองหน้าคมสวยของผู้บังคับบัญชา
“เด็กคนนั้นแววตาอ้างว้างเหมือนนายปั้น ฉันไม่อยากให้เขาเดินทางผิด เขายังมีโอกาสที่จะกลับตัวทัน แต่นายปั้นไม่มี” ปานระพีเอ่ยถึงน้องชายด้วยเสียงเครือๆ แววตาเจ็บปวดฉายออกมาทุกครั้งที่เห็นภาพน้องชายนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นถนน เพราะความเลือดร้อนและคึกคะนองของวัยรุ่น ทำให้เธอต้องสูญเสียน้องชายอันเป็นที่รักไปตลอดกาล แม่ของเธอช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังทำใจไม่ได้จนต้องตัดสินใจบวชชีตลอดชีวิตที่วัดแถวปทุมธานี
“เราก็ได้แต่หวังว่าผู้ปกครองของแกคงคิดได้ หันมาให้เวลากับแกมากขึ้น” หมู่อ่ำเอ่ยเสียงเรียบ รู้สึกเห็นใจผู้กองสาวไม่น้อย
“เราก็ได้แค่เอาใจช่วยเท่านั้นแหละหมู่”
“ดูท่าทางเด็กหนุ่มคนนั้นก็เอาเรื่องเหมือนกันนะครับ” หมู่อ่ำเอ่ยจบ รถก็วิ่งเข้ามาจอดหน้าแฟลตตำรวจ ดวงไฟหลายดวงเปิดให้แสงสว่างอยู่หน้าทางขึ้นบันได
“ขับรถระวังนะครับผู้กอง” หมู่อ่ำเปิดประตูลงจากรถแล้วก้มหน้าลงไปบอกกับหญิงสาว ก่อนจะปิดประตูให้
ปานระพีสูดลมหายใจยาวๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองหลังจากที่ได้อยู่เพียงลำพัง สองปีสำหรับการสูญเสียของครอบครัวเธอ ความเสียใจยังไม่จางหายไปจากใจ หญิงสาวพยายามทำงานกวาดล้างยาเสพติด สถานบันเทิงผิดกฎหมายต่างๆ และคอยช่วยเหลือเด็กวัยรุ่นที่หลงผิดแล้วอยากกลับตัวเป็นคนดี ซึ่งทางสถานีตำรวจก็คอยให้คำปรึกษาแนะนำอยู่ตลอดเวลา
รถยนต์ของอนุชิตวิ่งเข้าไปจอดในคฤหาสน์หลังใหญ่อาณาเขตของเซสฟรานโก้ ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่เกือบแปดไร่ เมอร์ฟี่เปิดประตูลงจากรถยุโรปคันหรู ร่างสูงเพรียวในชุดนักศึกษาเดินเข้าไปในบ้าน โดยไม่หันกลับไปมองอนุชิตที่เรียกอยู่ด้านหลัง
“เมอร์ฟี่เข้าไปหาอารามก่อน” อนุชิตได้แต่ส่ายหน้าไปมาเมื่อเด็กหนุ่มไม่สนใจจะฟังเขา อนุชิตเดินตามเข้าไปในห้องรับแขกที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงสมฐานะของเจ้าของ
“เดี๋ยวก่อนเมอร์ฟี่” อนุชิตคว้าต้นแขนเด็กหนุ่มเอาไว้ เมอร์ฟี่หันกลับมามองอย่างหงุดหงิด
“วันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะครับ เอาไว้พรุ่งนี้ได้ไหม” เมอร์ฟี่เป่าลมออกจากปากอย่างระงับอารมณ์
“นายก็รู้ว่าอารามรอนายอยู่ รีบไปคุยกับเขาก่อน อย่าทำตัวให้มันยุ่งยากสิ”
“เขาสนใจด้วยเหรอครับว่าผมจะเป็นยังไง”
“นายก็รู้ว่าอารามเขาห่วงนายมากแค่ไหน” อนุชิตยกมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แหงนหน้าขึ้นมองโคมไฟสวยที่ห้อยระย้าอยู่ด้านบน ให้ตายสิ อาหลานคู่นี้เป็นอะไรนักหนา
“อารามไม่เคยห่วงใครนอกจากงาน เขาเคยรู้ไหมว่าผมต้องการอะไร” เมอร์ฟี่เดินขึ้นบันไดไป เพื่อไม่ให้ใครเห็นความเจ็บปวดที่อยู่ในดวงตา
“หยุดนะเมอร์ฟี่” เสียงทรงอำนาจของ ราม เซสฟรานโก้ ดังขึ้น ทำให้ทั้งหมดหันกลับไปมอง เสียงสั่งเฉียบขาดที่ประกาศิตออกไปสะกดให้คนถูกสั่งต้องทำตามเท่านั้น บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ได้ยินเสียงพญาอินทรีแห่งเซสฟรานโก้แล้วต่างก็เย็นยะเยือกไปทั้งร่าง
“ไปคุยกับอาที่ห้องทำงาน” สายตาคมดุจพญาอินทรีที่จ้องมองอยู่ ทำให้เมอร์ฟี่ไม่กล้าปฏิเสธอย่างที่ใจคิด ริมฝีปากได้รูปขยับเตรียมจะพูด หากเสียงทรงอำนาจก็ดังขัดขึ้นทันที
“เดี๋ยวนี้เมอร์ฟี่”
เมื่อได้ยินเสียงสั่งอีกครั้ง เมอร์ฟี่ถึงกับเงียบ แล้วเดินลงบันไดไปที่ห้องทำงานของผู้เป็นอาที่อยู่ถัดไปทางด้านซ้าย
*** ขอบคุณคร้า
