2.ร้ายไม่ใช่เล่น
*** ทักทายคร้า ไปต่อกันเลยจ้า ***
หลังจากอธิบายงานกันคร่าวๆ พล.ต.ต.สมภพก็ได้แจกแจงงานอย่างชัดเจน ลูกน้องทุกคนต่างรู้ดีว่าเวลาทำงานทุกคนต้องทุ่มเท เพื่อทำหน้าที่คุ้มกันบุคคลสำคัญให้ปลอดภัย
การประชุมดำเนินไปเกือบสามชั่วโมง พอเปิดประตูออกมาความมืดก็ปกคลุมไปทั่วบริเวณ แสงไฟจากห้องสอบสวนยังคงสว่างอยู่เช่นเดิม บรรดาผู้ปกครองและนักศึกษาที่ได้รับการประกันตัวทยอยกลับบ้านไป เหลือเพียงไม่กี่คนที่นั่งรออยู่หน้าห้องสอบสวน รวมไปถึงเมอร์ฟี่ที่นั่งรอผู้เป็นอามาประกันตัว
“ผู้ปกครองยังไม่มาเหรอ” ปานระพีนั่งลงข้างๆ เมอร์ฟี่หันไปมองอย่างไม่สนใจ หญิงสาวยิ้มอย่างใจเย็นเมื่อเห็นแววตาเย้ยหยันของอีกฝ่าย
“เห็นแล้วยังจะมาถามอีก คนยิ่งหิวๆ อยู่”
หญิงสาวยิ้มอย่างไม่ถือสาอารมณ์ของเด็กหนุ่ม ปานระพีหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนเข้าเวรอยู่ให้ไปซื้อข้าวกล่องมาให้
“จะกินอะไร ฉันเลี้ยง” เธอยิ้ม มองสบตาคมรีที่ฉายแววของความอ้างว้างออกมาให้เห็น เมอร์ฟี่มองหญิงสาวนิ่ง แล้วบอกรายการอาหารที่ตัวเองอยากกินไปสามรายการ
“หูฉลาม เนื้อแกะรมควัน ไวน์แดง”
“เอาผัดกะเพราไข่ดาวสองกล่อง นะจ่า” เธอส่งเงินให้ลูกน้องแล้วนั่งลงตรงข้ามกับเมอร์ฟี่
“ฉันกินไม่เป็นหรอกอาหารพวกนี้ สั่งที่ฉันบอกให้ด้วย เดี๋ยวจ่ายเอง” เมอร์ฟี่สั่งหญิงสาว
รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าเรียวงาม นี่คงถูกตามใจจนเคยตัวกระมัง พวกเด็กชอบทำตัวมีปัญหา
“ออกจากที่นี่ให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปหากินเองก็แล้วกัน ถ้ายังไปไหนไม่ได้ก็ต้องทนกินอาหารพื้นๆ พวกนี้ไปก่อน แต่ถ้าไม่มีใครมาประกันตัวนาย คืนนี้อาจจะได้กินข้าวแดงในคุกก็ได้” ดวงตากลมโตยิ้มอย่างขำๆ กับอาการเด็กเอาแต่ใจของเมอร์ฟี่
ไม่นานลูกน้องก็นำข้าวกล่องพร้อมน้ำดื่มมาให้ผู้กองสาว มือบางเปิดกล่องข้าวผัดกะเพราออกมาแล้วตักเข้าปากอย่างอร่อย เมอร์ฟี่สะบัดหน้าหนีแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความหิวได้ มือขาวสะอาดเปิดกล่องที่วางอยู่ข้างตัวออกช้าๆ แล้วลงมือกินอาหารพื้นๆ ที่ว่า เมื่อแตะคำแรกเมอร์ฟี่ก็รับรู้ถึงความอร่อยของข้าวกล่อง ปานระพีชำเลืองมองยิ้มๆ
เกือบสองทุ่มกว่า ร่างสูงเพรียวสวมสูทสากลสีดำเดินขึ้นมาบนโรงพักพร้อมกับชายสูงวัยถือกระเป๋าเอกสารเดินตามหลังมา สายตาคมกวาดมองหาคนที่ต้องการพบ ริมฝีปากหนายิ้มกว้างขณะเดินเข้าไปหา
“เมอร์ฟี่” เสียงทุ้มเรียกเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หลังห้อง ปานระพีสังเกตเห็นแววตาสีน้ำฟ้าเข้มฉายแววยินดีออกมาเพียงชั่วครู่ แต่พอเห็นหน้าคนที่เดินเข้ามาหาแววตานั้นก็หายไป มีแววตาของความผิดหวังเข้ามาแทนที่
“อาชิต”
“ขอโทษนะ พอดีอาติดลูกค้าเลยมาช้า” อนุชิตเอ่ยกับหลานชาย ลำแขนใหญ่โอบไหล่หนาไว้
“เขาไม่มาใช่ไหมครับ” เมอร์ฟี่ถามพลางสบตาของอนุชิตผู้ช่วยของอาหนุ่ม สีหน้าผิดหวังน้อยๆ
ปานระพีขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างแปลกใจ อนุชิตหันมายิ้มกับเธอ ก่อนจะมองไปที่ข้าวกล่องซึ่งวางอยู่บนม้านั่งยาว แล้วมองหน้าเมอร์ฟี่ผู้มีศักดิ์เป็นเจ้านายคนหนึ่งที่เขาต้องดูแล
“สวัสดีครับ ผม อนุชิต ชาลล์ ครับ” ชายหนุ่มยื่นมือไปข้างหน้า
“ปานระพีค่ะ เรียกป่านก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จัก” มือบางยื่นออกไปสัมผัสกับมือใหญ่ รอยยิ้มเป็นมิตรส่งมาให้เธอ
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลเมอร์ฟี่” เขาเอ่ยเสียงสุภาพ แต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มเยาะเธอทั้งสายตาและท่าทาง
“หลานชายคุณคงไม่เต็มใจให้ดูแลเท่าไรมั้งคะ” เธอบอกยิ้มๆ มองตามแผ่นหลังของเมอร์ฟี่ที่เดินลงบันไดไป อนุชิตลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของผู้กองสาวไปได้
“หลานชายคุณท่าทางเอาเรื่องน่าดูนะคะ”
อนุชิตมองสบตากลมโตคู่งาม ใบหน้าคมดูเคร่งเครียดขึ้นเมื่อคิดถึงชีวิตของเมอร์ฟี่
“ถูกตามใจมาตั้งแต่เล็กน่ะครับ ตอนนี้ใครก็เอาไม่อยู่สักคน คนที่ปราบอยู่ก็งานยุ่งไม่มีเวลาให้สักเท่าไร เด็กก็เลยเรียกร้องความสนใจ” อนุชิตบอกเสียงเรียบ
“ถึงจะยุ่งแค่ไหนคนเป็นผู้ปกครองก็ต้องมีเวลาให้เด็กบ้าง เผื่อเขามีปัญหาจะได้เข้ามาปรึกษา ไม่ใช่เลี้ยงเขาด้วยเงินหรือวัตถุนิยมรอบตัว”
อนุชิตมองหญิงสาว ออกจะพอใจกับความคิดของเธอ ชายหนุ่มยิ้ม คิดถึงเจ้านายใหญ่ที่เป็นผู้ปกครองของหลานชายตัวแสบ
“ผมอยากให้ผู้ปกครองของเมอร์ฟี่มาได้ยินจัง”
“คุณไม่ใช่ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นเหรอคะ” เธอถามอย่างแปลกใจ เพราะดูท่าทางที่ชายหนุ่มแสดงออกมา ดูแล้วคงจะสนิทสนมกับเด็กหนุ่มนามเมอร์ฟี่ไม่น้อย
“ไม่ใช่หรอกครับ เมอร์ฟี่เป็นหลานชายคุณราม เซสฟรานโก้ คุณคงเคยได้ยินชื่อนี้ อาหลานคุยกันได้ไม่ถึงห้านาทีก็ต้องทะเลาะกันทุกที”
“เพราะนิสัยสองคนนั้นเหมือนกันด้วยหรือเปล่าคะ”
อนุชิตยิ้มให้เธอ
“ถูกเลยครับคุณป่าน ผมเห็นแล้วบางครั้งก็กลุ้มๆ อยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะเข้าข้างใคร” อนุชิตบอกพลางหัวเราะเบาๆ
“เรียบร้อยแล้วครับคุณชิต” เสียงทนายสมควรดังขึ้น ทำให้การสนทนาของคนทั้งคู่ต้องหยุดลง
“สวัสดีค่ะทนายสมควร” ปานระพียกมือไหว้อย่างเป็นกันเอง ทนายสมควรรับไหว้พร้อมส่งยิ้มมาให้
“หวัดดีครับ ผู้กองป่านสบายดีนะครับ”
“ลุงทนายรู้จักกับคุณป่านด้วยเหรอครับ” อนุชิตถามอย่างแปลกใจ เพราะดูคนทั้งสองพูดคุยกันเหมือนคุ้นเคยกันมานาน
“ครับ เมื่อก่อนผมเป็นทนายขอแรงคดีของผู้กองน่ะครับ ต่อสู้ด้วยกันมาหลายปีจนชนะคดี จากนั้นมาก็ช่วยเหลือกันมาเรื่อยๆ”
“อย่างนั้นเองหรือครับ” อนุชิตพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะขอตัวกลับ
*** ขอบคุณคร้า ***
