40 คนในความฝัน
“ตื่นแล้วหรอลูก” เสียงมะลิเอ่ยทักหญิงสาวที่เดินลงมาจากบันได หลังจากที่ตนพึ่งเดินไปใช้งานเด็กในบ้านเสร็จ
“ค่ะ ป้ามะลิ ข้าวขอโทษนะคะที่มาวันแรกข้าวก็ตื่นสาย”
พิมพกานต์เอ่ยตอบ พร้อมกับใบหน้านวลที่แดงก่ำ ที่เธอตื่นสายแบบนี้ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าที่เธอตื่นบ่ายแบบนี้จะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากเจ้าของบ้าน
ย้อนไปเมื่อคืน
หลังจากที่เธอมองเขาเดินหายเข้าไปในห้องที่คาดว่าจะเป็นห้องแต่งตัว เธอนั่งเสียใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะล้มตัวลงนอน ในตอนนั้นเธอเหนื่อยเกินที่จะมาคิดและพาตัวเองให้เสียใจตลอดทั้งคืน เพียงเพราะเขาแค่เดินหนีไม่ตอบคำถามแม้มันจะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แค่การที่เขาไม่ตอบคำถามแล้วเดินหนี แต่สำหรับมันเธอเป็นเรื่องใหญ่ระดับหนึ่ง เธออุตส่าห์หลงดีใจคิดว่าพี่ธีร์คนเดิมกำลังจะกลับมา...สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของเธอเท่านั้น ความวันที่ไม่มีทางเป็นจริง
แต่ยังไม่ทันที่จะหลับตา ก็เหลือบไปเห็นว่าเขาเดินกลับเข้ามาอีกครั้งในลุคชุดนอนเรียบร้อย พร้อมกับของบางอย่างในมือ
“พะ พี่ธีร์จะทำอะไรคะ” เธอเอ่ยถามเขาเสียงสั่น เมื่อเขาเดินเข้ามาหาแล้วประคองตัวเธอให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงไว้
“จะนอนทั้งแบบนี้?” เขาว่าอย่างยิ้ม ๆ
“แล้วพี่ธีร์จะให้ข้าวทำยังไงคะ ก็ข้าวไม่มีเสื้อผ้าใส่” เธอว่าขึ้นเสียงเบา ก่อนที่มือบางจะดึงเอาผ้าห่มมากอดไว้แน่นเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองนั้นโป๊อยู่
“หึ”
“ก็เลยไปเอามาให้นี่ไง” ว่าจบก็ชูชุดเดรสในมือขึ้น พร้อมกับจะใส่ให้เธอโดยเริ่มสวมจากหัวก่อน
“ขะ ข้าวใส่เองได้ค่ะ” มือบางจับแขนเขาไว้ให้หยุดการกระทำทันที ก่อนจะเธอจะสวมใส่มันเอง รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อรู้ว่าที่เขาหายไปเพราะไปหาชุดมาให้เธอใส่ ไม่ได้หายไปเพราะเธอไม่ยอมมีเซ็กส์ด้วย
หลังจากที่เธอแต่งชุดเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเข้านอน โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเธอเลยตามที่เธอขอ กลับกลายเป็นว่าเป็นเธอเองที่ขยับตัวไปกอดเขาก่อน ด้วยต้องการความอบอุ่น ซึ่งเขาเองก็กอดเธอกลับเช่นกัน ซ้ำยังคอยลูบไล้หน้าท้องให้เธออย่างอ่อนโยน อย่างที่เขาเคยพูดไว้ ว่าเขาจะหาเวลาให้ความอบอุ่นแก่ลูกบ้างเช่นกัน... พึ่งพอมันเป็นแบบนี้เธอก็แทบจะหลงลืมสิ่งที่เขาก่อนหน้าไปจนหมด
ค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข ทว่าตอนเช้ากลับเร่าร้อน เมื่อเอวที่ถูกเขากอดอยู่ กลับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง บางอย่างที่มักตื่นตัวในตอนเช้า และนั่นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของการตื่นบ่าย... เพราะเธอเผลอขยับตัวและไปถูกมันเข้า เขาเลยให้เธอรับผิดชอบเสียยกใหญ่ และที่เธอใจอ่อนให้เขาโดยง่ายเพราะการกระทำของเขานั้นอ่อนโยน...
...
“ไม่ต้องขอโทษป้าหรอกจ้ะ หนูข้าวพึ่งออกจากโรงพยาบาลคงจะไม่หายดี ป้าเข้าใจ”
“วันนี้ป้าเลยทำข้าวต้มปลาสูตรเด็ดไว้รอ หนูจะได้กลับมาแข็งแรงไว ๆ” มะลิพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าอ่อนล้าของหญิงสาวตรงหน้า แต่เธอหารู้ไม่ว่าที่หญิงสาวตรงหน้าเป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพราะพึ่งออกจากโรงพยาบาล แต่เป็นเพราะคุณหนูของเธอนั่นเอง
“ข้าวรบกวนป้ามะลิอีกแล้ว...ขอบคุณนะคะ” พิมพกานต์ว่าพร้อมกับส่งยิ้มให้ ป้ามะลิก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของเธออีกคนหนึ่งไม่ต่างจากป้าสายที่เกาะเอื้องดาวเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ป้ามะลินั้นอายุมากกว่าก็เท่านั้น แล้วเธอยังแอบรู้มาว่าทั้งสองคนนี้นั้นสนิทกันอีกด้วย เพราะตอนที่เธอคุยโทรศัพท์หาป้าสาย ป้าสายจะถามถึงป้ามะลิอยู่เสมอ ทั้งยังบอกว่าป้ามะลินั้นใจดี มีเมตตา หากมีอะไรไม่สบายใจให้ปรึกษาป้ามะลิได้ ให้คิดเสียว่าป้ามะลินั้นเป็นย่าเป็นยาย
ซึ่งพอเธอได้สัมผัส ก็เป็นอย่างที่ป้าสายนั้นว่าจริง ๆ ป้ามะลิทั้งอบอุ่นและใจดี ให้ความรู้สึกเหมือนเธออยู่กับคุณยายเลย แม้ว่าเธอจะไม่เคยมียายกับเขามาก่อนก็ตาม...
“ถ้ากินอิ่มแล้วหนูข้าววางจานไว้ได้เลยนะ เดี๋ยวจะมีเด็กมาเก็บ” มะลิว่าขึ้น หลังจากได้คิวกับเพื่อนรุ่นน้องอย่างสายหยุด ก็ทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูแม่หนูคนนี้มากขึ้น ทั้งยังรู้นิสัยใจคอมากขึ้นไปอีก
“ข้าวเก็บเองค่ะ ไม่เป็นไร”
“ไม่ได้ ๆ เดี๋ยวพวกเด็ก ๆ จะไม่มีงานทำกัน แค่นี้พวกมันก็ขี้เกียจมากแล้ว นาน ๆ ทีคุณธีร์จะกลับบ้าน นาน ๆ ธีร์จะมีแขกมาบ้าน หนูข้าวก็ปล่อยให้พวกเราดูแลเถอะนะลูก”
“แต่ข้าว...”
“เชื่อป้านะ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร”
“ก็ได้ค่ะ” เมื่อคุณป้าว่ามาแบบนั้น พิมพกานต์ก็อ่อนใจที่จะเถียง ไว้ค่อยหาอย่างอื่นทำตอบแทนก็แล้วกัน เพราะเธอไม่ชอบเลย การมาอยู่บ้านคนอื่นเฉย ๆ แบบนี้ ทั้งยังมีคนคอยดูแลอีก บอกเลยว่าเธอไม่ชิน
“งั้นป้าไปก่อนนะ วันนี้ป้าให้คนมาลงตรงไม้ในส่วนใหม่ ป้าขอไปดูงานสักหน่อย”
“ค่ะ” พิมพกานต์ว่าพรางส่งยิ้มให้ และหลังจากที่ป้ามะลิเดินไปแล้ว เธอก็กินข้าวต่อ โดยที่สายตาคอยสอดส่องหาคนที่ทำให้เธอตื่นบ่ายไปด้วย แต่ไม่ว่าจะมองหายังไงก็ไม่เจอ จนเธอล้มเลิกความคิดที่จะมองหาเขาไป และหันมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ
เมื่อทานมื้อเช้าในตอนบ่ายเสร็จแล้ว พิมพกานต์ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรในบ้านหลังใหญ่นี้ เธอจึงเลือกเดินดูรอบ ๆ เธอไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งไม่รู้จักใครเลยนอกจากเขาและป้ามะลิที่คอยทำกับข้าวอร่อย ๆ ไปส่งให้ตอนที่เธออยู่โรงพยาบาล แถมเจ้าของบ้านก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน หากเห็นเขา ก็อยากจะถามว่าเขาให้เธอมาอยู่ที่นี่ เขาจะมอบหมายงานอะไรให้เธอทำ เพราะตอนอยู่เกาะเอื้องดาว อย่างที่รู้ว่าเธอเป็นแม่ครัวอยู่โรงครัว
แต่พอมาอยู่ที่นี่ ก็เหมือนที่นี่จะมีครบทุกอย่างแล้ว ทั้งแม่บ้าน แม่ครัว คนสวน คนรถ จากที่เธอเดินสำรวจดูในเวลาเกือบยี่สิบนาที ก่อนจะหย่อนตัวนั่งพักที่ห้องรับแขก อย่างไม่คิดว่าบ้านของเขาจะใหญ่ขนาดนี้ เล่นเอาเธอหอบอยู่เหมือนกัน ขนาดว่าเธอยังไม่ได้เดินขึ้นไปสำรวจบนบ้านนะ...
นั่งหอบหายใจอยู่สักพัก ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ดวงตากลมเบิกกว้างในทันที เมื่อสายตาปะทะเขากับบางอย่าง
“นะ นั่นมัน...” เสียงหวานสั่นขึ้นมาทันที เมื่อภาพถ่ายครอบครัวภาพใหญ่กลางห้องโถงนั้น มีแต่คนที่เธอคุ้นหน้าทั้งนั้น ก่อนที่ภาพความทรงจำต่าง ๆ จะไหลเข้ามาในหัว
“คือว่าพวกคุณ ๆ ท่านเสียชีวิตกันไปเมื่อหลายปีก่อนน่ะ หลายปีมาก ๆ น่าจะยี่สิบปีได้”
“คุณ ๆ เสีย...หมายถึงคนในรูปทั้งหมดนี้เสียชีวิตพร้อมกันหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ...คนในรูปทั้งหมดนี่เสียชีวิตเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน”
/
“น้าชื่อเทียนจ้ะ”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของหนู...หนูกลับบ้านนะ เดี๋ยวน้าพาไปส่ง”
/
“...ถึงเจ้าธีร์จะดูร้ายไปบ้าง แต่จริง ๆ แล้วเจ้าธีร์เป็นคนอบอุ่นมากเลยนะ”
“ย่าเชื่อว่าเจ้าธีร์จะสามารถดูแลปกป้องหนูและเหลนของย่าได้แน่นอน”
“เหลนของย่ารอออกมาวิ่งเล่นอยู่นะ”
“หนูกลับบ้านเถอะนะ เดี๋ยวย่ากับแม่เทียนจะไปส่งหนูเอง”
...
“นี่มันอะไรกัน...อย่าบอกนะว่า” มือบางยกขึ้นปิดปากทันที ด้วยความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง คนในรูปนั้นเป็นญาติของเขา...และญาติของเขาก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว...ซึ่งก็หมายความว่าคนที่มาหาเธอ มาบอกให้เธอกลับบ้านก็เป็นคุณย่าของเขา คุณย่ากับคุณน้าแสนใจดี...ที่เธอไม่รู้ว่าคุณน้าคนนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา
“มะ ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้” มันไม่มีเหตุผลเลยสักนิดที่คนในครอบครัวของเขาจะมาหาเธอ
“เพราะเคยเห็นรูปที่บ้านมาก่อน เธอเคยเก็บไปฝันข้าวหอม เธอเลยเก็บไปฝันมันไม่มีอะไร” พิมพกานต์ว่าขึ้นเพื่อหาข้อสรุปให้ตัวเอง เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะฝันถึงคนที่ตายแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าและรู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อน
“กรี๊ด” เสียงดนตรีที่ดังขึ้นทำให้พิมพกานต์ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนจะมองสำรวจรอบ ๆ เพื่อหาที่มาของเสียง ก็พบว่ามันมาจากกล่องดนตรีที่ตั้งอยู่ไม่ไกลไม่ไกล...
“เป็นไปได้ยังไง...” แม้ว่าจะกลัว แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อเข้ามาสำรวจกล่องดนตรีเจ้าปัญหาที่ทำเธอขวัญกระเจิง ก่อนจะพบว่ามันเป็นกล่องดนตรีไม้ฉลุลวดลายสวยงามแบบไขลาน ซึ่งมันไม่มีทางดังขึ้นมาได้เลยหากไม่มีคนมาหมุน
“พวกคุณ ๆ ยังอยู่จริง ๆ หรอคะ” สุดท้ายแล้วเธอก็รวบรวมความกล้า ก่อนจะว่าขึ้นเสียงเบา ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ทำเอาเธอคนลุกเลยทีเดียว เมื่ออยู่ ๆ ก็มีสายลมเย็นพัดผ่านมา สายลมเย็นที่ไม่ได้มาจากเครื่องปรับอากาศ มันพัดผ่านมาและพัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว...
“ถ้าข้าวเผลอทำอะไรให้คุณ ๆ ไม่พอใจ ข้าวขอโทษด้วยนะคะ” ว่าพร้อมกับโค้งคำนับน้อย ๆ แม้อยากจะโค้งมากกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะติดหน้าท้องที่ยื่นออกมา
ก่อนที่จะได้รับสายลมเย็นพัดผ่านหน้าอีกครั้ง เหมือนพวกเขานั้นรับรู้และตอบรับในคำพูดของเธอ
“ข้าวไม่รู้ว่าจะได้อยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” พูดจบก็โค้งตัวลงอีกครั้ง อย่างนอบน้อม
แต่สิ่งที่เธอพูดและทำนั้น พาให้เหล่าแม่บ้านที่เดินผ่านได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก อย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอทำ อีกทั้งเธอยังพูดคนเดียวอีก ก่อนจะพากันเดินเร็วหนีไป เมื่อสัมผัสถึงอุณหภูมิที่ลดต่ำลงผิดปกติ
...
“วันนี้แค่นี้ใช่ไหม” ชลธีว่าขึ้น หลังจากนั่งประชุมมาทั้งวัน มือหนายกขึ้นนวดคลึงศีรษะเบา ๆ พร้อมกับเอนตัวไปกับเบาะนั่งเพื่อพักสายตา
“ครับเดือนนี้หมดเท่านี้ครับ มีอีกทีเดือนหน้า”
“ให้มันจริง” ชลธีว่าขึ้นเสียงเรียบ เดือนหน้าทีไร อยู่ ๆ ก็มีแทรกมานิดมาหน่อยทุกที สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องไปกลับระหว่างเกาะเอื้องดาวกับกรุงเทพอยู่ตลอด
“ครั้งนี้จริงแน่นอนครับ ผมเอาหัวเป็นประกัน”
“หึ” เสียงฮึมฮัมในลำคอของชลธีดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“ที่บ้านเรียบร้อยดีใช่ไหม”
“เรียบร้อยดีครับ เธอตื่นมาตอนบ่ายกว่า ๆ ก่อนจะทานข้าวที่ป้ามะลิเตรียมให้”
“จากนั้นเธอก็ออกไปเดินเล่นสำรวจบริเวณบ้าน ถ้าเจอคนงานก็แวะทักท้าย แล้วเธอก็กลับมานั่งพักที่น้องนักเล่น ก่อนจะขึ้นห้องไปนอนพักผ่อนครับ” หมอกว่าขึ้นอย่างละเอียด
“ตื่นบ่ายหรอ หึ” มุมปากหนายกขึ้นเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเธอนั้นตื่นบ่าย...ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะเขานั่นเอง เขาปล่อยไปเธอได้นอนหลังจากพึ่งตื่นก็เกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว เธอที่ท้องและไม่ค่อยมีแรงแบบนั้น ตื่นบ่ายก็ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว หึ
“มีเรื่องดี ๆ หรอครับ” หมอกเอ่ยถาม หลังจากมองกระจกมองหลังแล้วเห็นเจ้านายนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว
“เปล่า” ชลธีว่าเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปมองนอกหน้า
“ครับเปล่าก็เปล่า” หมอกว่าอย่างยิ้ม ๆ รอยข่วนเล็ก ๆ ที่หลังคอ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นซะหน่อย หึ
