บท
ตั้งค่า

38 สวนดอกไม้

“คุณน้าเป็นใครคะ” เสียงใสเอ่ยถามคุณน้าคนสวยตรงหน้า ก่อนจะทำหน้านึกคิด คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอเหมือนจะเคยเห็นคุณน้าคนสวยคนนี้

“น้าชื่อเทียนจ้ะ”

“คุณน้าเทียนมาหาข้าวหอมมีอะไรรึเปล่าคะ”

“น้ามาพาหนูกลับบ้านจ้ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยบอกสาวน้อยตรงหน้า

“กลับบ้านหรอคะ?”

“ใช่จ้ะ กลับบ้าน กลับไปหาคนที่หนูรัก...”

“กลับไปหาเขาหรอคะ...แต่เขาไม่ได้รักข้าวเลยนะคะ ข้าว ข้าว ข้าวไม่อยากกลับไปแล้วค่ะ” ว่าพร้อมกับค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไป เธอชอบที่นี่ ที่นี่เงียบสงบ ไม่มีคนใจร้าย...และก็ไม่มีใคร

“ให้เวลาเขาหน่อยนะ...ชีวิตเขาผ่านความเจ็บปวดมามาก มันทำให้เขาไม่เปิดใจรับใครเข้ามา”

“แต่ข้าว...” ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังส่ายหัว ยิ่งนึกไปถึงสิ่งที่พึ่งเจอมา เธอยิ่งไม่อยากกลับไปเลย

“เชื่อน้านะ น้าและทุกคนจะช่วยปกป้องหนูเอง” สิ้นเสียงหวานก็มีคนมากมายปรากฏตัวขึ้น ซึ่งคนเหล่านั้นเธอก็รู้สึกหน้าเหลือเกิน แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

“ข้าวขออยู่ที่นี่ไม่ได้หรอคะ...อยู่กลับคุณน้า แล้วก็คนอื่น ๆ” ในตอนแรกนั้นเธอคิดว่ามีแต่เธอคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในทุ่งดอกไม้แสนสวยนี่ แต่ทว่าพอคุณน้าคนสวยปรากฏตัว ก็พอให้รู้สึกไม่เหงาขึ้นมาหน่อย และยิ่งมีคนอื่น ๆ ด้วยแล้ว ที่นี่ก็ยิ่งน่าอยู่มากขึ้นไปอีก

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของหนู...หนูกลับบ้านนะ เดี๋ยวน้าพาไปส่ง” เทียนหอมยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทั้งยังอบอุ่นอีกด้วย พาให้พิมพกานต์นั้นรู้สึกราวกับว่าตอนนี้เธอพูดอยู่กับแม่ก็ไม่ปาน ก่อนข้อมือเรียวเล็กจะถูกมือนุ่มของเทียนหอมกุมไว้

“ข้าวกลัวค่ะ” พิมพกานต์ว่าขึ้นพร้อมหยุดเดินตามแรงดึงเมื่อเดินมาถึงซุ้มดอกไม้ใหญ่ เธอกลัว...เธอไม่อยากที่จะกลับไปเจ็บอีก...

“อย่ากลัวไปเลยนะหนูข้าว...” เสียงที่ดังขึ้นทำให้พิมพกานต์ต้องหันไปมอง ก่อนจะเห็นคุณยายใจดีเดินเข้ามาหา พร้อมกับดึงมือเธอไปกุมไว้อีกข้าง

“...ถึงเจ้าธีร์จะดูร้ายไปบ้าง แต่จริง ๆ แล้วเจ้าธีร์เป็นคนอบอุ่นมากเลยนะ”

“ย่าเชื่อว่าเจ้าธีร์จะสามารถดูแลปกป้องหนูและเหลนของย่าได้แน่นอน” มือเหี่ยวเอื้อมไปสัมผัสหน้าท้องนูนที่ยื่นออกมามากแล้ว

“เหลนของย่ารอออกมาวิ่งเล่นอยู่นะ” ว่าพร้อมกับส่งยิ้มให้

“ละ เหลนหรอคะ” พอได้ยินคุณยายท่าทางใจดีพูดขึ้น มือบางก็เลื่อนขึ้นมาวางทาบที่หน้าท้องตัวเองบาง ก่อนจะอมยิ้มออกมา พร้อมกับน้ำตาที่คลอหน่วย

“ใช่จ้ะเหลนของย่า หนูกลับบ้านเถอะนะ เดี๋ยวย่ากับแม่เทียนจะไปส่งหนูเอง”

“แล้วก็ไม่ใช่แค่เหลนย่านะที่หรอหนู หลานย่าก็ด้วย”

“คะ?”

“หนูพร้อมกลับบ้านแล้วใช่ไหม”

“เอ่อ” เพราะถูกพูดด้วยรัวๆ พิมพกานต์ก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับด้วยความงุนงง

“พร้อมนะหนูข้าว” เทียนหอมว่าขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะจูงมือพาลูกสะใภ้เดินลอดซุ้มดอกไม้ไป

.

.

.

“เธอหลับไปนานแล้วนะข้าวหอม...ตื่นขึ้นมาสักทีสิ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกหญิงสาวที่ตนนั่งกุมมืออยู่ พร้อมกับคอยกุมมือแนบแก้มไว้ไม่ห่าง นานแล้วที่เธอนอนนิ่งอยู่แบบนี้

“รีบปลุกคุณแม่ให้ตื่นขึ้นมานะครับ...ปลุกคุณแม่ให้ตื่นมาฟังคำขอโทษจากพ่อนะ” มือหนาลูบไล้หน้าท้องนูนที่ตอนนี้ยืนออกมามากแล้ว... ถึงจะยังไม่ใกล้เวลาครบกำหนดคลอดและเธอก็พึ่งหมดสิไปได้ไม่นาน

แต่เขาก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดียิ่ง เมื่อเธอยังไม่ได้สติอยู่แบบนี้ เกือบสี่วันแล้ว สี่วันที่เธอนอนนิ่งไม่ยอมขยับตัวเลย ตั้งแต่คืนนั้นเธอก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมาคุยกับเขาเลย

แม้ในเช้าวันถัดมาเธอจะพึมพำบางอย่าง แต่เขาก็ฟังมันไม่ถนัด แถมเรียกเท่าไหร่เธอก็ไม่ยอมตื่น จากที่คิดว่าเธอเป็นลมไปธรรมดา ๆ เท่านั้นเพราะความตกใจ ทว่านานไปก็เริ่มรู้สึกไม่ดี จนมาที่โรงพยาบาลถึงได้รู้ว่าเธออ่อนล้าสะสม ซ้ำสภาพจิตใจเธอนั้นย่ำแย่ จนปิดกั้นตัวเอง ไม่ให้ตื่นมารับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

“ไว้พ่อจะรีบกลับมาเล่นกับเราไหมนะ” ริมฝีปากหนาจูบลงบนหน้าท้องนูนแผ่วเบา ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาจูบที่หน้าผากมนของแม่ของลูกบ้าง เพราะมีงานล้นมือทำให้เขาไม่สามารถที่จะอยู่ที่นี่ได้นานนัก ทั้ง ๆ ที่พยายามจัดการเวลาแล้ว แต่มันก็ได้เท่านี้จริง ๆ

สายตาคมเหลียวมองเธอจนวินาทีสุดท้ายก่อนประตูจะปิดลง พร้อมกับบอกให้ลูกน้องเฝ้าเธอไว้ให้ดี เมื่อเวลามันกระชั้นชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ชลธีจึงต้องตัดใจเดินออกไปในที่สุดเพราะเขามีประชุมสำคัญ ทั้งยังมีนัดกับลูกค้าคนสำคัญต่ออีก

“จะกลับแล้วหรอ” เสียงหวานเอ่ยทัก พร้อมกับส่งรอยยิ้มให้

“อืม พอดีมีธุระ”

“งั้นไว้เจอกันนะ ไอขอไปดูคนไข้ก่อน”

ชลธีเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น ก่อนจะพูดขึ้น เมื่อร่างบางอันคุ้นเคยกำลังเดินผ่านหน้าเขาไป

“ธีร์ฝากดูข้าวหอมด้วยนะ...”

“ไม่ต้องห่วง ข้าวหอมเป็นคนไข้ของเพื่อนไอ ไอจะช่วยดูเรื่องนี้ให้ยังไงเธอก็เป็นคนของธีร์”

“ขอบคุณนะ...”

และเมื่อทุกคนจากไปแล้วกลับกลายเป็นว่าร่างบางที่นอนนิ่งไม่ได้สติอยู่หลายวันก็เริ่มขยับตัวขึ้น...

“น้ำ...”

...

“พี่หมอกคะ ข้าวหอมยังไม่รู้สึกตัวอีกหรอคะ” เสียงใสกรอกไปตามสาย นี่ก็ผ่านมานานแล้วที่ข้าวหอมย้ายไปรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าข้าวหอมนั้นจะกลับมาเลย...เธอได้แต่คอยโทรถามเช้าเย็นด้วยความเป็นห่วง ถึงจะโทรบ่อยก็เถอะ แต่นาน ๆ อดีตพี่ชายที่เคยอาศัยอยู่บ้านข้าง ๆ ก็จะรับที

“ยังเลย”

“แล้วแบบนี้มันจะไม่เป็นไรหรอคะ”

“เราเชื่อใจคุณธีร์รึเปล่า” เสียงทุ้มของหมอกเอ่ยถาม

“เราเชื่อรึเปล่าว่าคุณธีร์จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก...”

“แล้วพี่หมอกล่ะคะ พี่หมอกจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนตัวเองรักรึเปล่า” อยู่ ๆ เฟื่องฟ้าก็พูดแทรกขึ้นมา เรื่องคุณข้าวหอมนั้นเมื่อได้ยินเขาพูดมาแบบนี้แล้ว ความกังวลที่มีก็ค่อย ๆ คลายลง แต่กลับมีอีกเรื่องที่คอยมาป้วนเปี้ยนในคันยุบยิบในใจแทน นั้นก็คือเรื่องระหว่างเธอกับเขา ตั้งแต่วันที่เธอเข้าใจเขาผิด ระยะห่างระหว่างเราก็ค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่เธอก็พยายามแล้วที่จะขอโทษ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเว้นระยะห่าง ไม่แสดงความรู้สึกเกินกว่าฐานะพี่ชายที่เขาคอยย้ำอยู่เสมอเลย

“พี่ก็ต้องปกป้องคนที่พี่รักอยู่แล้ว เราก็ถามแปลก”

“แล้วถ้าเฟื่องเป็นอะไรไป พี่หมอกจะเป็นห่วงเฟื่อง จะปกป้องเฟื่องไหมคะ” ว่าพร้อมกับเอาเท้าเขี่ยทรายไปมาอย่างเขินอาย หวังอยู่เติมร้อยส่วนว่าเขาจะต้องหลุดพูดมันออกมา และมันก็เป็นจริงดังที่หวัง

“แน่นอนสิ ถ้าเราเป็นอะไรมาพี่ก็ต้องดูแลเราอยู่แล้ว...” ยังไม่ทันที่จะพูดเจ็บเสียงเล็ก ๆ ก็กรี๊ดดังลั่น จนเขาต้องเอาโทรศัพท์ออกจากหู

“แค่นี้ก่อนนะคะ” แม้อยากจะคุยต่อ แต่มันก็ใจเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไรดี ในที่สุดเธอก็ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาสักที หลังจากที่พยายามตามรักตามหยอดมาอยู่หลายปี ในที่สุด!! มันก็สำเร็จ เพราะเขาเองก็รักเธอเหมือนกันสินะ ‘คนปากแข็งเอ้ย’

“หึ เมื่อไหร่จะโตนะ” ด้านหมอกนั้นหลังจากคนตัวเล็กวางสายไปแล้วเขาก็ได้แต่ส่ายหัว นับวันเธอยิ่งทำตัวประหลาดเข้าไปทุกที

.

.

.

“สวัสดีครับผมธีร์ครับ”

“ผมควินครับ”

“งั้นเรามาเริ่มกันเลยนะครับ” หลังจากทักทายคู่ค้าทางธุรกิจชลธีก็ว่าขึ้นทันที เพื่อเริ่มเจรจา

ครืดดด

เสียง โทรศัพท์ที่สั่นเบา ๆ ทำให้การสนทนาหยุดลง ก่อนจะเป็นควินที่เป็นฝ่ายขอโทษ

“ผมขอรับสายสักครู่นะครับ สายนี้สำคัญกับผม” ควินพูดอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารไป และเมื่อกลับเข้ามาสีหน้าเขาดีเครียดขึ้นเล็กน้อย ก่อนเขาจะปรับให้เป็นปกติ

“เรามาเริ่มกันต่อเลยดีกว่าครับ” หลังจากนั้นบทสนทนาทางธุรกิจก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะจบลงเมื่อเวลาผ่านไปราวสองชั่วโมง

“ผมหวังว่าผมจะได้ร่วมงานกับคุณเร็ว ๆ นี้นะคะ” ควินพูดขึ้น

“ผมเองก็เช่นกันครับ”

“ไปไหนต่อดีครับ” หมอกที่รับหน้าที่เป็นสารถีหนุ่มถามขึ้น

“โรงพยาบาล” ชลธีว่าเสียงเรียบ ก่อนจะเอนตัวลงกับเบาะหนัง มือหนายกขึ้นนวดคลึงศีรษะตัวเองเบา ๆ

“กลับบ้านไปพักก่อนดีไหมครับ วันนี้นายหัวทำงานวุ่นทั้งวันเลยนะครับ นอนพักสบาย ๆ ที่บ้านสักวันเถอะนะครับ” ด้วยความเป็นห่วง หมอกจึงพูดขึ้น นายหัวเขาตะลอน ๆ ไปมาระหว่างโรงพยาบาล โรงแรม บริษัท ทั้งยังจะเกาะเอื้องดาวอีก พอว่างก็ไม่เคยจะพัก ถ่อไปนั่งฝั่งลูกเฝ้าเมียถึงลูกพยาบาล ตั้งแต่เกิดเรื่องในคืนนั้น วงจรชีวิตของนายหัวก็เป็นแบบนี้

จนตอนนี้ใบหน้าคมดูอ่อนล้าลงมาก เขาสังเกตเห็นมัน แม้ว่านายหัวจะพยายามทำตัวเข้มแข็งมากแค่ไหนก็ตาม แต่ในบางครั้งคนเราก็ไม่สามารถที่จะเข้มแข็งไปได้ตลอด หากพ้นสายตาคนอื่น ก็จะมีบ้างที่เผยความอ่อนแอของตัวเองออกมา

“โรงพยาบาล” นายหัวหนุ่มว่าขึ้นเสียงเรียบอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลงเพื่องีบเอาแรง แต่ยังพักสายตาได้ไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ โทรศัพท์เขาก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน

“มีอะไรรึเปล่าไอ” เสียงเรียบกรอกไปตามสาย เมื่อหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏชื่อ อดีตคนรัก...'ไอริส' ไม่สิ แฟนเก่า

“ธีร์จะไปเดี๋ยวนี้”

“ขับเร็วกว่านี้หน่อย”

“ครับ” แม้ไม่รู้ว่านายหัวคุยโทรศัพท์กับใคร แต่ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นคนในโรงพยาบาล ถึงได้ดูรีบร้อนแบบนั้น แต่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายหัวต้องเร่งเขาด้วย... ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะไม่กล้า กลัวว่าหากเป็นเรื่องไม่ดีจะกระทบจิตใจนายหัวซ้ำอีก ภายในใจก็ได้แต่ภาวนา อย่าให้เกิดการสูญเสียขึ้นเลย เพราะแค่นี้นายหัวของเขาก็สูญเสียมามากพอแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel