3 อยากอุ้มหลาน
"อะ โอ้ย" ร่างบางค่อย ๆ ขยับตัวรุกขึ้นนั่ง แต่กลับได้รับความเจ็บปวดจนน้ำตาเล็ด ทำไมมันถึงได้ปวดแบบนี้นะ
"คุณฟื้นแล้วหรอคะ" นางพยาบาลเอ่ยถาม
"ค่ะ"
"เดี๋ยวฉันตามคุณหมอให้นะคะ" หลังจากนั้นไม่นานแพทย์หญิงคนสวยก็เขามาตรวจดูอาการคนไข้ ก่อนจะบอกว่าพรุ่งนี้เช้าเธอก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว
"นี่ค่ะ ของของคุณ" กระเป๋าผ้าเก่า ๆ แต่กลับสะอาดสะอ้าน บ่งบอกว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ยื่นให้คนไข้
"ขอบคุณนะคะ...เอ่อ แล้ว คนที่ช่วยฉันไว้ล่ะคะ"
"อ้อ เขากลับไปแล้วล่ะค่ะ เห็นว่ามีธุระ เขาบอกไว้แค่ว่าถ้าคุณฟื้นก็ให้เอานี่ให้คุณ"
'ไม่ต้องรู้สึกผิดนะครับที่ไม่ได้บอกขอบคุณผม ผมเองก็ขอบคุณคุณเหมือนกัน :) '
"ขอบคุณนะคะ ความช่วยเหลือของคุณในครั้งนี้ ฉันจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด"
"ยังเจ็บอยู่รึเปล่าลูก" อรพินท์ปรี่เข้าไปดูลูกสาวทันทีที่เห็นลูกเดินเข้ามาในรั้วบ้าน เมื่อวานที่ข้าวหอมโทรมาบอกว่าเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาล เธอก็เป็นห่วงจนนอนไม่หลับ อยากจะไปหาลูกเสียเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่ติดที่เจ้าตัวห้ามไว้ก่อน
"ข้าวไม่เป็นไรแล้วค่ะแม่บัว แต่ว่าข้าวคงต้องลาออกจากงาน..." เพราะเธอไม่กล้าไปทำงานอีกแล้ว เธอไม่รู้ว่าจะเจอเรื่องแบบนั้นอีกหรือเปล่า อีกอย่างก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีมีคนคอยช่วยเหลือตลอด
"ไม่เป็นไรลูก งานจะหาเมื่อไหร่ก็ได้ แค่ลูกสาวแม่ปลอดภัยก็พอแล้ว" แม้จะไม่รู้เรื่องราวว่าเป็นมายังไงทำไมลูกสาวถึงต้องเขาโรงพยาบาล แต่พอได้ฟังว่าลูกจะลาออก เธอก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง เพราะตั้งแต่ทำงานที่นั่นมาไม่มีสักครั้งที่ขวัญข้าวคิดจะลาออก มีแต่จะหางานรับจ็อบเพิ่มเท่านั้น
"แม่บัวว่าขวัญมาช่วยแม่บัวขายกับข้าวดีไหมคะ จากที่เราเปิดตั้งแต่ช่วงบ่าย เราก็ทำเยอะขึ้น แล้วก็ขายตั้งแต่เช้าไปถึงตอนดึกเลย แต่ว่าข้าวหอมจะให้แม่บัวช่วยข้าวขายแค่เวลาเดิมที่แม่บัวทำก็พอนะคะ ที่เหลือข้าวจะเป็นคนขายเอง"
"ลูกคนนี้นี่ มาพูดดักแม่แบบนี้ได้ยังไงกัน"
"คิก ๆ แล้วแม่เห็นด้วยไหมล่ะคะ" ถึงจะไม่ได้เป็นเชฟดังที่วาดฝัน แต่อย่างน้อยก็ได้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้คนอื่นได้ทานก็ยังดี
"แม่เห็นด้วย ข้าวจะได้ไม่ต้องเดินตะลอน ๆ ออกไปหางาน และไม่ต้องทำงานดึกดื่นค่ำมืด แม่เป็นห่วง แต่หนูจะไหวแน่หรอลูก ยืนขายของทั้งวัน แถมอากาศก็ร้อนมาก ๆ ผิวสวย ๆ บอบบางของลูกสาวแม่ได้พังกันพอดี" มือเหี่ยวหยิบเอามือเรียวของลูกสาวมาไว้บนตัก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผิวพรรณและหน้าตาของพิมพกานต์ไม่เหมาะจะมาเป็นลูกแม่ค้าอย่างเธอเลยสักนิด ผิวขาวบอบบางที่เพียงแค่โดนมดกัด ก็เป็นผื่นแดงอย่างน่าใจหาย
"ขอบคุณนะคะ ที่เข้าใจข้าว"
อีกด้าน
"กูจะได้อุ้มหลานกับเขาไหม" เสียงทุ้มของชลธารเอ่ยถามน้องชาย
"ไม่"
"ไอ่นี่"
"มึงไม่คิดจะมีเมียเลยรึไง ผู้หญิงไม่ได้เหมือนกันทั้งโลกหรอกนะเว่ย ดูอย่างพี่สะใภ้มึงดิ"
"หนึ่งในล้าน" เสียงเรียบตอบพี่ชาย
"มึงนี่มัน! ไม่รู้แหละยังไงมึงก็ต้องหาเมีย ธุรกิจเป็นสิบของมึงกับกูต้องมีคนสืบทอด" คิดถึงเรื่องนี้ก็พาให้เครียดขึ้นมาทันที ชีวิตรักของเขานั้นสมบูรณ์แบบ เรื่องความพร้อมในการเลี้ยงลูกนั้นไม่ต้องพูดถึง พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม แต่โชคชะตากับเล่นตลก เมื่อภรรยาของเขานั้นมีบุตรได้ยาก หรือหากมีก็อาจจะแท้งได้ง่าย เนื่องจากมีเนื้องอกในมดลูก
แต่ก็ยังโชคดีที่เป็นเนื้องอกธรรมดาไม่ได้กลายเป็นมะเร็งแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นพวกก็ไม่เคยละความพยายาม เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะมีลูกโดยใช้วิทยาการทางการแพทย์ที่แสนก้าวหน้าเข้าช่วย แต่ก็ยังไม่สำเร็จสักที เลยได้แต่หวังว่าน้องชายที่เป็นญาติพี่น้องคนเดียวของเขาที่เหลืออยู่จะหาเมียแล้วมีลูกมาสืบทอดสมบัติมากมายที่เขาและมันลงทุนลงแรงกันมาสักที เอ่อ รวมไปถึงธุรกิจครอบครัวที่ตกทอดมาให้เขาสองพี่น้องด้วย
ไม่รู้ว่ามันเป็นความโชคร้ายกันแน่ ที่เหลือรอดกันอยู่สองคนพี่น้อง เรื่องราวในวันนั้นเขายังจำได้ดี และเขาก็เชื่อว่าภรันยูน้องชายเขามันก็จำมันได้ไม่มีวันลืมเหมือนกัน...
"ไออาทิตย์..."
"พี่ขุน" เสียงเข้มกดต่ำลงทันที เมื่อพี่ชายพูดชื่อที่ตนไม่อยากได้ยิน เพราะมันชอบทำให้เขาหวนคิดถึงอดีตที่เจ็บปวด สำหรับพี่ชายแล้วเขาพอควบคุมอารมณ์ได้ แต่ถ้าเป็นคนอื่นแล้วนั้น... หึ
"เออ เออกูขอโทษ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว มึงก็ควรทำใจยอมรับ แล้วใช้ชีวิตต่อได้แล้ว ไม่สิมึงใช้ชีวิตต่อได้แล้ว แต่มึงไม่ยอมตัดขาดกับอดีตสักที อดีตมันก็คืออดีตเรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ และมึงก็ไม่ควรปล่อยให้มันย้อนกลับมาทำร้ายมึง ... มึงต้องใช้ชีวิตต่อสิวะ มัวแต่จมปลักอยู่กับอดีต มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะ ที่กูพูดเพราะกูเป็นห่วง ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น เรื่องผู้หญิงก็เหมือนกัน กูรู้ว่ามันยาก แต่กูก็รู้เหมือนกันว่าคนฉลาด ๆ อย่างมึงจะทำมันได้ เข้าใจที่พี่พูดไหม"
"พี่ขุน"
"ขุนเขา" รอยยิ้มส่งให้น้องชาย เขาไม่อยากให้มันเครียดจนเกินไป เพราะน้องชายเขาคนนี้เป็นคนจริงจังกับชีวิตเสมอ แต่บางทีมันก็จริงจังเกินไป อายุสามต้น ๆ แล้วยังไม่มีเมียกับเขาสักที ไม่รู้ว่ามันทนอยู่ไปได้ยังไงกัน
"หึ"
"มาหงมาหึ ไอนี่ แล้วเรื่องที่กูพูดวันนี้ก็จริงจัง"
"เรื่อง?"
"เรื่องลูกกับเมียมึง" ไอน้องบ้านี่ มันจะทำตัวไม่สนใจแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่
"มันยังไม่ถึงเวลา"
"ไม่ถึงเวลาเหี้ยอะไรของมึงไอธีร์ปีนี้มึงสามสิบแล้วนะ"
"ผมไม่ชอบเด็ก ผมไม่อยากมีลูก"
"ถ้าไม่ชอบเด็ก ลูกมึงกูกับกิ่งจะเลี้ยงเองก็ได้ กิ่งรักเด็กกูเองก็ด้วย"
"ไอธีร์มึงก็รู้ว่ากูกับกิ่งอยากมีลูกกันมากแค่ไหน...ถือว่าเรื่องนี้พี่ขอเถอะนะ ไม่มีลูกแต่ให้มีหลานตัวน้อย ๆ ให้ได้อุ้มได้หยอกเล่น ก็ยังดี"
"พี่ขุน" ชลธีถอนหายใจออกมาด้วยความลำบากใจ เรื่องที่พี่ชายอยากมีลูกมาก ๆ เขานั้นรู้แต่ แต่เขาไม่อยากมี เขาไม่ชอบเด็กและเขาก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงคนไหน เรื่องที่พี่ชายขอมันเลยเป็นเรื่องยากสำหรับเขามาก หากพี่ขุนขออย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องพวกนี้เขาพร้อมที่จะทำโดยไม่ปฏิเสธเลย แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริง ๆ
"ถ้าอย่างนั้นมึงจะเอายังไงเรื่องกิจการ ทรัพย์สิน ถ้าวันหนึ่งกูกับมึงตายไป"
"บริจาค" ชลธีเอ่ยตอบพี่ชายอย่างไม่ใส่ใจ
"บริจาคเหี้ยอะไรไอธีร์! กูเบื่อจะพูดกับมึงแล้ว อีกหนึ่งอาทิตย์กูจะมาเอาคำตอบ" ว่าจบก็ลุกออกจากเก้าอี้ทันที ไม่แม้แต่จะหันกลับมาบอก เขาไม่อยากได้ยินน้องชายพูดปฏิเสธหน้าตายอีก ซึ่งก็เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่มันพูดแบบนี้
"ไม่"
"ยังไม่ถึงเวลา"
"ผมไม่ชอบ"
"ไม่"
ไม่ว่าจะพูดเรื่องนี้สักกี่ครั้งคำตอบที่ได้ก็เป็นทำนองนี้เสมอ จนเขาชักจะเริ่มหมดความอดทนกับมันแล้ว
