29 ต้มจืดเต้าหู้หมูสับคลุกน้ำตา
“ตื่นได้แล้วข้าวหอม” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงกว้างของตน เขาไปทำงานกลับมาแล้วเธอก็ยังนอนนิ่งอยู่อีก
“แม่บัวหรอคะ” เสียงงัวเงียเป็นชื่อผู้ให้กำเนิดทำให้ชลธีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย หลายครั้งในตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันดั่งสามีภรรยาทั่วไป เธอมักจะเล่าถึงแม่ของเธอเสมอ แม่ที่อุปการะเธอมาเลี้ยงดู แต่ในตอนนั้นเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เธอแต่งขึ้นเท่านั้น เพราะชีวิตที่เธอเล่านั้นมันเป็นชีวิตธรรมดา ไม่ได้สวยหรูแต่มันก็เป็นชีวิตที่มีความสุขของเธอ ในตอนที่เธอเล่าดวงตาเธอเป็นประกายทุกครั้ง
แต่เพราะหลักฐานและสิ่งที่เธอทำมันเป็นสิ่งที่คนมีชีวิตธรรมดา ๆ แบบนั้น ไม่สามารถทำมันได้อย่างแน่นอน ทำให้เขาไม่เคยคิดที่จะเชื่อ แถมยังยิ้มเยาะกับตัวเองในใจทุกครั้งที่ฟังเธอเล่า หรือในบางครั้งเขาก็แทบจะไม่ได้ตั้งใจฟังเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่เออออตามเธอไปเท่านั้น พอเห็นเธอเศร้าเขาก็เอ่ยปลอบ
“แม่บัวของเธอ เป็นนักการเมืองทรงอิทธิพลหรือนักธุรกิจชื่อดังล่ะ หึ”
“พี่ธีร์...” เปลือกตาบ้างที่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้น เมื่อมองเห็นเขาราง ๆ เธอก็เอ่ยเรียกเขาเสียงเบาทันที แม้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแต่สรรพนามที่เธอใช้กับเขานั้นมันยังคงเหมือนเดิม เธอชอบที่จะเรียกเขาแบบนี้มันทำให้เธอรู้สึกว่าพี่ธีร์แสนดีของเธอนั้นยังอยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะเรียกเธอต่างไปจากเดิมก็ตาม เขาเรียกเธอว่าเธอ แทนตัวเองว่าฉัน
ต่างจากวันที่เราพบกันครั้งแรกที่เขาแทนตัวเองว่าผม เรียกเธอว่าคุณ แน่นอนว่ารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอและเขา เธอจำมันได้ทุกอย่าง...แต่ไม่รู้ว่าเขาเคยใส่ใจเธออย่างที่เธอใส่ใจเขาบ้างไหม
เธอเคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาเองก็ใส่ใจเธอเช่นกัน แต่พอมารู้ทีหลังว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแผนการของเขา เธอก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว...
“ว่าไง? จะตอบฉันได้รึยังว่าแม่บัวของเธอเป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง”
“แม่บัวของข้าวเป็นคนธรรมดาค่ะ แม่บัวขายข้าวแกง ไม่ได้เป็นนักธุรกิจหรือนักการเมืองอะไรอย่างที่พี่ธีร์ว่า” พิมพกานต์ตอบกลับเขาไป พร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
“เหอะ แม่ข้าวขายข้าวแกงงั้นหรอ” ชลธีหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แม่ค้าขายข้าวแกงนี่มีอิทธิพลมากเลยสินะ ถึงขนาดปิดปากตำรวจได้ทั้งโรงพัก เท่านั้นยังไม่พอ ยังสั่งเก็บหลักฐานเรียบ”
“แม่ค้าขายข้าวแกงที่เธอว่าทำได้ถึงขนาดนี้ ฉันชักอยากจะเห็นหน้าแล้วสิ”
“ถ้าพี่ธีร์จำได้ แม่บัวของข้าวเสียไปแล้วค่ะ ตั้งแต่ปีที่แล้ว...” เขาไม่ได้ใส่ใจเธอจริง ๆ สินะ
“หึ คงจะเหนื่อยที่จะอยู่กับลูกนอกคอกแบบเธอสินะ ถึงว่าจากลูกคนมีอิทธิพลมือถึงได้ไปอยู่ในบ้านซอมซ่อแบบนั้น” คำพูดถากถาง พร้อมกับสายตาดูแคลนส่งให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง
“แม่ของข้าวป่วยค่ะ แล้วข้าวก็เป็นเด็กดีของแม่บัวมาโดยตลอด ไม่เคยเลยสักครั้งที่ข้าวจะทำให้แม่บัวเสียใจ” เพราะเธอกลัวว่าหากเป็นเด็กไม่ดี แล้วแม่บัวจะรักไม่เอ็นดูแล้วเธอก็จะต้องถูกทิ้งอีก...
“งั้นหรอ? ฉันควรเชื่อเธอสินะ” ชลธีว่าขึ้น ก่อนที่เขาจะหย่อนตัวลงนั่งปลายเตียง ทำให้พิมพกานต์ต้องขยับปลายเท้าเข้าหาตัวเอง
“ข้าวพูดความจริง พี่ธีร์จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็อยู่ที่พี่ธีร์แล้วค่ะ...ข้าวคงบอกพี่ธีร์ได้เท่านี้” พิมพกานต์ว่าเสียงเศร้าก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของเขา และหลบไม่ให้เห็นน้ำตาที่เอ่อคลอของเธออยู่ตอนนี้ด้วย
“หึ ต่อปากต่อคำเก่งขึ้นนะ”
“แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่มีทางเชื่อ ต่อให้เธอสาบานต่อหน้าพระพุทธรูปฉันก็ไม่เชื่อ หรือจะสาบานให้ตัวเองมีอันเป็นไปฉันก็ไม่เชื่อ”
“หึ แต่เธอคงจะไม่ทำอย่างนั้นแน่...” ในขณะที่เขายังไม่พูดไม่จบเธอก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“ข้าวทำได้ค่ะ ถ้ามันจะทำให้พี่ธีร์เชื่อ หรือถ้าพี่ธีร์จะให้ข้าวพูดเพื่อเป็นการพิสูจน์ข้าวก็ทำได้” ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนทำ เธอก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เขาพูดตอบกลับมา มันทำให้ใจด้วยน้อยของเธอกระตุกวูบ
“แต่ฉันไม่ต้องการ ไม่ต้องการได้ยินคำสาบานไร้ค่าจากฆาตกรอย่างเธอ”
“พี่ธีร์...”
“จำเอาไว้ข้าวหอม ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร หรือทำอะไรฉันก็ไม่มีทางเชื่อเธอ ฉันไม่ใช่คนที่เธอจะหลอกได้ง่าย ๆ”
“แต่ถ้าหลอกคนอื่น...” ชลธีไล่สายตามองหญิงสาวตรงหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“เธอก็รู้ว่าฉันเก่งในเรื่องนี้ หึ”
สายตาหื่นกามของเขามันทำให้เธอต้องยกมือขึ้นป้องอกอย่างหวาดระแวง
“ถะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าวขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ” แม้ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ในห้องเขาได้อย่างไร แต่คงจะเดาได้ไม่อยาก ก็คงจะเป็นเขานั่นแหละที่อุ้มเอาเธอมา
หลังจากก้มลงมองสำรวจตัวเองภายใต้ผ้าห่มของเขาแล้ว
พิมพกานต์จึงค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้น ตอนนี้เธอสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีเทาของเขาอยู่ ตอนอยู่บนตัวเขามันก็ไม่ได้ใหญ่เท่าไหร่ พอมาอยู่บนตัวมันก็เหมือนเดรสสั้นตัวโครงดี ๆ นี่เอง
“ขอบคุณนะคะ ที่อาบน้ำให้ข้าว” เธอบอกเขาอย่างยิ้ม ๆ อย่างพยายามกลืนความขมขื่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้าลงท้อง หลังจากสำรวจตัวเองแล้วก็พบว่าตัวเธอนั้นไม่ได้เหนียวเหนอะหนะเหมือนก่อนแล้ว แถมยังได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่ด้วย กลิ่นที่สบู่ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นกลิ่นเดียวกันที่เจอเขาที่น้ำตกวันแรก เขาคงจะพาเธอมาอาบน้ำที่นี่สินะ เพราะเธอจำได้ว่ากลิ่นสบู่ที่บ้านนั้นไม่ใช่กลิ่นนี้
‘เอาน่าข้าวหอม อย่างน้อย ๆ เขาก็อาบน้ำให้... ไม่ทิ้งให้แก้ต้องนอนไม่สบายตัว’
“หึ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะได้ผลรึไง ฉันไม่ใจอ่อนหรอกนะ” ชลธีว่าเสียงเรียบ เมื่อเห็นท่าทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของเธอ เมื่อรู้ว่าเขาอาบน้ำให้ รอยยิ้มที่เขาเคยบอกเสมอว่าเขาชอบมัน แต่ตอนนี้เวลาเห็นมันกลับทำให้เขาคันยุบยิบในใจ ‘หึ ก็แค่ยิ้ม ไม่เห็นจะน่าดูตรงไหน’
“ข้าวก็แค่ยิ้มเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ได้ยินเขาพูดแบบนั้น เธอก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีทันที ก่อนจะถูกเขาตัดบทอย่างหน้าตาย
“ไปทำกับข้าวได้แล้วฉันหิว” พูดจบก็เดินออกไปในทันที พร้อมกับปิดประตูเสียงดัง
“รอยยิ้มของข้าว ที่พี่ธีร์เคยบอกว่าชอบ...เคยบอกว่ารู้สึกมีกำลังใจไปทำงาน...พี่ธีร์ก็โกหกข้าวใช่ไหมคะ...” น้ำเสียงแสนเศร้า เอ่ยออกมาแผ่วเบา หลังจากมองเขาเดินจากไปจนลับสายตา ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่คลออยู่ออก
...
“ลงมาได้สักที” เดินมาถึงพักบันไดชั้นล่าง เสียงเข้มของเขาก็ดังขึ้นว่าเธอในทันที
“ข้าวขอโทษค่ะ เสื้อพี่ธีร์มันสั้นไปหน่อย ข้าวก็เลยไม่กล้าลงมา” จะเดินหาเอาในห้องแต่งตัวเขาก็กลัวจะถูกเขาว่า กลัวเขาจะโมโหที่ไปยุ่งกับของของเขา เธอยืนทำใจอยู่นาน พร้อมกับคอยมองสำรวจอยู่ที่ระเบียงห้องของเขาว่ามีคนเข้ามาไหม เธอยืนดูลาดเลาอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินลงมา เมื่อไม่เห็นใครเดินเข้ามาในบ้านเลย ก่อนจะยิ้มเยาะให้กับตัวเองในใจ เป็นเธอที่ลืมเองว่านายหัวของที่นี่รักสงบ ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย จะไม่มีใครมาเพ่นพ่านในบ้านก็คงไม่แปลก
“ช่างเถอะ ตอนนี้เธอไปทำกับข้าวให้ฉันได้แล้ว เพราะฉันหิว หิวมาก ๆ ด้วย”
“และก่อนที่ฉันจะหิวจนตาเลย จับเธอกินแทน” ชลธีว่าเสียงเรียบ พร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้คนตัวเล็กมาขึ้นเรื่อย ๆ จนเธอขยับถอยหลัง แต่ก็ถอยไปได้ไม่กี่ก้าว เพราะขาไปติดกับขึ้นบันไดซะก่อน ซึ่งมันก็ทำให้เขาเดินมาถึงตัวเธอ
“ขะ ข้าวจะไปทำอาหารให้ ดะ เดี๋ยว นี....” พูดยังไม่ทันจะจบดี ก็ต้องกลืนคำพูดลงท้อง เมื่อเขาฉกฉวยเอาริมฝีปากบางเธอไปครอบครอง ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างเธอเบา ๆ เมื่อเธอไม่ยอมเปิดปากให้เขารุกล้ำเข้าไป
“อ้ะ” ซึ่งพอถูกเขากัดปาด เธอก็ร้องออกมาเบา ๆ ด้วยความเจ็บ ซึ่งมันก็ทำให้เขามีโอกาสได้สอดลิ้นเข้ามาภายในโพรงปากนุ่มของเธอเพื่อควานหาความหวาน ลิ้นหนาของเขาไล่ต้อน พันเกี่ยวกับลิ้นน้อย ๆ ของเธอจนพอใจ ก่อนที่เขาจะผละเธอออก พร้อมกับส่งรอยยิ้มร้ายมาให้
“ถ้ายังไม่รีบไป ฉันจะกินเธอทั้งตัว”
“หนึ่ง สอง” เมื่อยังเห็นเธอนิ่ง ชลธีก็เริ่มนับในทันที ก่อนที่เธอจะเดินเร็ว ๆ หนีไปทางครัวเมื่อได้สติ ท่าทางของเธอทำให้เขากระตุกยิ้มมุมปากอย่างไม่รู้ตัว
“หึ”
“เสร็จแล้วค่ะ” หลังจากวางกับข้าวถ้วยใหญ่ ไว้บนโต๊ะอาหารตรงหน้าเขาแล้ว พิมพกานต์ก็พูดขึ้น
“คือ?”
“ต้มจืดเต้าหู้หมูสับค่ะ” เธอบอกกับเขาพร้อมรอยยิ้ม ทุกครั้งที่เขาถามชื่ออาหารที่เธอทำ เธอจะตอบมันด้วยรอยยิ้มเสมอ
“ให้ข้าวตักข้าวเลยไหมคะ”
“เอาสิ” ได้ยินเขาบอกแบบนั้นก็ตักเขาใส่จานให้เขาจนพูนทันที และหลังจากเสิร์ฟให้เขาแล้วก็เดินอ้อมกลับมาตักให้ตัวเองบ้าง แต่ยังไม่ทันที่ข้าวจะลงจาน เสียงเขาก็ดังขัดขึ้นมาก่อน ทำให้เธอต้องหยุดการกระทำแล้วหันไปตอบคำถามเขา
“จะทำอะไร!”
“ข้าวก็จะตักข้าวไงคะ”
“ตักให้ใคร?”
“ตักให้ข้าวสิคะ จะตักให้ใคร” เขาก็ถามแปลก
“ฉันอนุญาต?”
“คะ?” เธอถามกลับอย่างไม่เข้าใจ การที่เธอจะตักข้าวเธอต้องขออนุญาตเขาด้วยหรอ
“ฉันไม่อนุญาตให้เธอกิน วางจานข้าวลงแล้วมายืนตรงนี้”
“ได้ยินที่ฉันพูดไหมข้าวหอม” เสียงของเขาดังขึ้นทันที เมื่อเห็นเธอยังยืนนิ่ง ไม่ยอมวางจานลง
“แต่ข้าวก็หิวเหมือนกันนะคะ” พิมพกานต์เอ่ยบอกชลธีเสียงสั่น เธอทำให้เขาและทำเผื่อตัวเองเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำ ซ้ำครั้งนี้เธอยังทำมากกว่าปกติด้วย เพราะเขาบอกว่าเขาหิวมาก และเธอเองก็หิวเช่นกัน ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย ถึงปกติจะเป็นคนกินน้อยอยู่แล้ว
แต่พอเธอท้องเธอก็พยายามที่จะกินมากขึ้นเพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ทำให้เธอเริ่มติดที่จะกินเยอะ แต่กินเยอะของเธอก็ยังน้อยกว่าเขาอยู่ดี เพราะงั้นการที่เขาจะแบ่งให้เธอทานด้วยมันจะไม่ได้เลยหรอ...
“ถ้าหิวก็รอจนฉันกินเสร็จแล้วกัน” ว่าจบก็ก้มหน้าก้มตาทานต้มจืดแสนอร่อยที่เธอทำ อย่างไม่สนใจน้ำเสียงตัดพ้อขอความเห็นใจจากเธอเลยสักนิด
“พี่ธีร์...”
ไม่ได้กินฝีมือเธอเกือบสี่เดือน พอได้กลับมากินอีกครั้งเขาก็รู้สึกว่ามื้อนี้เขาเจริญอาหารมากเลยทีเดียว อยู่กรุงเทพเขาเพียงกินให้มันเสร็จ ๆ ไปเท่านั้น เมนูที่กินก็มีแต่โปรตีนจากเนื้อสัตว์ อย่างอกไก่และผักสด ผักต้มง่าย ๆ ด้วยเพราะเขาชอบออกกำลังกายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาหารพวกนี้จึงเป็นอาหารที่เขาสามารถกินได้ไม่ต้องเรื่องมากกับมันมากนัก แถมมันยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อเวลาที่เขาออกกำลังกายอีกด้วย หลังจากถูกเธอขุนมาหลายเดือน ได้แยกออกไปจากเธอก็พอให้ได้หน้าท้องแน่น ๆ กว่าเดิมกลับมาอยู่บ้าง
แต่พอได้กลับมาทานฝีมือของเธออีกครั้ง ก็รู้สึกคิดถึงมันพอสมควร รสชาติกลมกล่อมที่หาทานที่ไหนไม่ได้ ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน เขาว่า...เขาคงติดรสมือของเธอไปแล้ว เพราะตอนอยู่ที่กรุงเทพไม่ว่าจะทานอะไรก็ไม่อร่อย ไม่ถูกปากไปหมด ยิ่งเป็นเมนูที่เธอเคยทำให้ทานแล้ว ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่อร่อยเลย ต่อให้เป็นเชฟดังมาจากไหนเมื่อเทียบกับของเธอสำหรับเขานั้นเทียบไม่ติดเลย
ด้านพิมพกานต์ก็ได้แต่ยืนมองเขาทานอยู่อย่างนั้น เธอกลืนน้ำลายลงคอไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ หวังว่าเขาจะกินเสร็จไว ๆ และจะได้กินบ้าง มองเขาตักเนื้อและผัก คำแล้วคำเล่า
“อรึก” หลังจากมองตามเขาตักเต้าหู้เนื้อเนียนเด้งสีเหลืองนวลเป็นชิ้นกลมสวยเข้าปาก เธอก็กลืนน้ำลายอีกครั้งด้วยความอยาก มองเขาตักมันไป ตักไปอยู่หลายชิ้น จนตอนนี้เธอแทบจะมองไม่เห็นเต้าหู้แล้ว เต้าหู้ที่เธออยากกิน เต้าหู้ที่เธอใส่เยอะเป็นพิเศษเพื่อที่จะได้กินมัน ฮรึก เมื่อไม่เห็นมันอยู่ในถ้วยอีกต่อไป อยู่ ๆ น้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาดื้อ ๆ
“อยากกินหรอ?” เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทำให้ชลธีหันไปมอง ก่อนจะเห็นเธอยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ และเมื่อเห็นเธอพยักหน้าตามอย่างเลื่อนลอยเขาก็ยกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะตักเต้าหู้ชิ้นสุดท้ายที่อยู่ในช้อนเขาปาก พร้อมกับชำเลืองมองเธอไปด้วย และนั่นก็ทำให้เขาเห็น หยดน้ำตาเม็ดเล็กร่วงหล่นจากหางตาของเธอ ก่อนจะถูกเธอปัดมันออก
“หว๊า แต่มันหมดแล้วซิ เสียใจด้วยนะ”
“ตอนนี้ฉันอิ่มแล้ว เชิญเธอกินต่อได้เลย” ว่าจบก็เหยียดตัวลุกขึ้น ก่อนจะเดินจากไป อย่างไม่สนใจคนที่ยืนน้ำตาคลอเพราะไม่ได้กินเต้าหู้เลยแม้แต่น้อย
และหลังจากที่เขาเดินออกไปแล้ว พิมพกานต์ก็รีบเดินมาตักข้าวเพื่อไปนั่งกินในทันที ก่อนจะต้องร้องไห้ออกมา เมื่อต้มจืดที่เคยมีเนื้อและผักมากมายแทบจะเต็มถ้วย ตอนนี้เหลือแค่เศษผักและวิญญาณหมูเท่านั้น
“ฮึก ฮือออ” จากที่จะได้กินข้าวอร่อย ๆ กับอาหารที่ตัวเองตั้งใจทำ กลับกลายเป็นว่าต้องมันกินข้าวคลุกน้ำตาแทน มือบางยกขึ้นลูบไล้หน้าท้องนูนน้อย ๆ ของตัวเองแผ่วเบา ได้แต่เอ่ยขอโทษลูกน้อยในใจที่ต้องมากินอะไรแบบนี้ แทนที่จะได้กินของอร่อย ๆ แม้ในใจจะอยากไปทำใหม่เพื่อให้ลูกได้กินอะไรดี ๆ
แต่มันก็เหนื่อยเกินกว่าที่เธอจะลุกขึ้นไปทำได้ มันเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ ทำเธอแทบไม่มีแรงจะยืน เลยต้องยอมกินข้าวกับน้ำซุปและเศษเสี้ยวของวิญญาณหมูและผัก ที่พ่อของลูกนั้นเหลือไว้ให้อย่างเลี่ยงไม่ได้ บ้างก็กินน้ำตาที่หยดแหมะลงไปในจากข้าวด้วย...
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เช็ดน้ำตาออก เธอเช็ดแล้วแต่มันก็ยังไหลเป็นสาย ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย
