11 คะน้าผัดน้ำมันหอย
กลางดึก
หญิงสาวนอนหลับตาพริ้มอยู่ภายในกระท่อม...เรียกกระท่อมก็ไม่ถูกเท่าไรนัก เรียกบ้านหลังน้อยคงจะเหมาะสมกว่า บ้านหลังเล็กที่ยกใต้ทุนสูงประมาณระดับเอว ภายในมีทั้งครัวและห้องน้ำขนาดเล็ก โซนห้องว่างที่ใช้เป็นห้องนอนและใช้ทานข้าว หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ รวมกันได้เลย ส่วนด้านนอกก็มีระเบียงไม้ยื่นออกมารอบบ้าน ด้านข้างนั้นมองออกไปจะเห็นทะเลไกลสุดลูกลูกตา ส่วนด้านหลังอย่างที่รู้ ๆ กันว่ามันคือป่าที่มีน้ำตกแสนสวยซ่อนอยู่
ส่วนชายหนุ่มที่บอกว่าจะออกมานอนนั้นเขาเลือกมานอนที่เปลข้างบ้านที่เขาเป็นคนผูกเอาไว้ ใช่แล้วล่ะทุกคนได้ยินไม่ผิด บ้านหลังเล็กนี่เขาเคยอยู่มาก่อน ก่อนจะยกมันให้แขกที่เขาตั้งใจเชิญ...
“ว่ามา” เสียงเข้มพูดขึ้นท่ามกลางความมืด ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังดวงจันทร์ที่ส่องสว่างตรงหน้าทั้งที่ยังนอนเปลอยู่
“เป็นอย่างที่นายหัวคิดครับ พวกมันแอบขนของมาไว้ในถ้ำของเราจริง ๆ”
“หึ มันคิดว่ากูโง่มากสินะ”
“แล้วจะเอายังไงต่อดีครับ”
“ปล่อยไปก่อน” แขนแกร่งยกขึ้นหนุนหัวด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“ครับ?”
“...”
“ผมเข้าใจแล้วครับ” เมื่อผู้เป็นนายไม่พูดหมอกก็ไม่ได้ถามย้ำอีก...เพราะทำงานด้วยกันมานานเจ้านายเขานั้นไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้ พูดมาก คำไหนก็คำนั้น แต่ดูเหมือนวันนี้เขาจะแอบได้ยินเจ้านายพูดกับคนที่นอนหลับอยู่ข้างในเป็นประโยคยาว ๆ เสียด้วยสิ ยาวกว่าทุกครั้งที่ใช้พูดกับคนอื่น น่าสนใจเลยทีเดียว หึ
"แล้วเรื่องอื่นล่ะ เรียบร้อยดีไหม"
"เรียบร้อยดีครับ"
"ดี เตรียมทุกอย่างให้พร้อม"
“ครับ”
"แล้วเรื่องของเธอล่ะครับ" พูดจบก็เบนสายตาไปในบ้านหลังน้อยที่มีคนนอนหลับอยู่ด้านใน แม้ว่าในตอนนี้จะมืด แต่แสงจันทร์ที่ส่องสว่างก็พอจะทำให้ชลธีมองเห็นสิ่งที่หมอกต้องการจะสื่อ
"เรื่องนี้กูจัดการเอง...มึงหรือใครอย่าเข้ามายุ่งเด็ดขาด” ชลธีบอกเสียงเรียบ กึ่งออกคำสั่ง
“เข้าใจแล้วครับ” เมื่อไม่มีอะไรต้องพูดกันต่อหมอกก็ขอตัวกลับทันทีเพื่อไปพักผ่อน ต่างจากชลธี เขาเลือกเดินเข้าไปในห้องพักที่หญิงสาวนอนอยู่
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งย่อตัวลงนั่งชันเข่าข้าง ๆ หญิงสาวร่างบอบบางที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ รอยยิ้มเหี้ยมปรากกฏขึ้นบนใบหน้า จากนั้นมือหน้าค่อย ๆ ยื่นออกไปสัมผัสกับตนคอขาวของเธอแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มแรงบีบมากขึ้นเมื่อภาพบางอย่างฉายชัดเข้ามาในหัว จนกระทั่งได้ยินเสียงหอบหายใจของเธอเขาจึงยอมคลายออก
“ตายแบบนี้...มันง่ายไป คุณว่าจริงไหม” น้ำเสียงเย็นยะเยือกเอ่ยพูดกับหญิงสาวที่ยังคงนอนหลับไม่รู้สึกตัวตรงหน้า
“นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น หึ” พูดทิ้งท้ายไว้เท่านี้ ก็เดินจากไปทันที อย่างไม่นึกสนใจคนตัวเล็กที่เริ่มนอนระส่ำระสายไปมาราวกับว่าตัวเธอนั้นตกอยู่ในฝันร้าย
“ยะ อย่านะ อย่าเข้ามา”
“ไม่นะ หยุด ฮึก แม่บัวช่วยข้าวหอมด้วย แม่บัววว ฮือ ๆ ข้าวหอมกลัว” มือบางยกขึ้นปัดป้องไปมา เมื่อภัยร้ายกำลังมาถึง เสียงหวานร้องเรียกหาแม่บัวผู้ที่คอยเป็นเกราะกันภัยปกป้องตัวเองมาตลอดไม่หยุด เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นเต็มไปหน้า ก่อนที่ชื่อของใครบางคนจะแล่นเข้ามาในหัว
“พี่ธีร์ ฮึก พี่ธีร์ช่วยข้าวด้วย ข้าวกลัว ฮือ ๆ”
“ข้าว ข้าวตื่นสิข้าว ได้ยินพี่รึเปล่า ข้าว” มือหน้าตบไปที่ใบหน้าของคนตัวเล็กเบา ๆ เผื่อให้เธอได้สติ
“เฮือก! อย่าเขามานะ” ทันทีที่รู้สึกตัว มือเล็ก ๆ ก็ออกแรงผลักเงาดำ ๆ ตรงหน้าทันที
“ข้าวนี่พี่เอง...พี่ธีร์ไงครับ” ชลธีพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะที่หัวนอนของเธอ
“ฮึก พี่ธีร์” ได้ยินเสียงเขา พร้อมกับเห็นใบหน้าเขาชัดขึ้นจากโคมไฟหัวนอนทำให้พิมพกานต์โผเข้ากอดเข้าทันที ใบหน้าหวานซุกซบอยู่กับอกแกร่งของเขา ก่อนจะปล่อยน้ำตาให้ไหลริน ฝันเมื่อกี้มันน่ากลัวสำหรับเธอเหลือเกิน และพอเขาลูบหลัง ลูบหัวให้อย่างอ่อนโยน มันก็ทำให้เธอกล้าเปิดใจ ระบายมันออกมาให้เขาฟัง
“ข้าวกลัว...”
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว” ว่าจบก็กดจูบเบา ๆ บนกลุ่มผมนุ่มของเธอ
“ฮือ ๆ”
“ดีขึ้นรึยังครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามหญิงสาวในอ้อมกอดที่เริ่มสงบลงบ้างแล้ว หลังจากที่กอดเขาอยู่นาน
“ค่ะ...ขอบคุณนะคะ” พิมพกานต์พยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะตอบเขาออกไป พร้อมกับคลายอ้อมกอดจากเขา ทั้งที่ยังอยากอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นของเขาต่อ
“งั้นนอนนะ เดี๋ยวพี่จะออกไปนอนเฝ้าข้างนอก มีอะไรก็เรียกพี่นะ” เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไรชลธีก็เตรียมตัวลุกขึ้นเดินจากไป แต่ทว่าชายเสื้อของเขากลับถูกดึงไว้
“อย่าไปนะคะ...”
“ครับ?”
“อยู่เป็นเพื่อนข้าวได้ไหมคะ ข้าวไม่อยากอยู่คนเดียว ข้าวกลัว...” เสียงหวานสั่นน้อย ๆ เอ่ยบอกเขา นี่ถือเป็นคืนแรกเลยก็ว่าได้ที่เธอนอนคนเดียวในต่างที่แบบนี้ ตอนที่นอนป่วยก็ยังมีป้าสายอยู่ด้วย...แต่นี่ไม่มีใครเลย เธอไม่ชอบการอยู่คนเดียวเลยจริง ๆ
“พี่กลัวว่าข้าวจะเสียหาย”
“ข้าว ข้าวโอเคค่ะ...นะคะ ข้าวกลัวจริง ๆ” น้ำตาที่คลอหน่วยเป็นหลักฐานบอกเขาในตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้นข้าวนอนนะ เดี๋ยวพี่นอนพิงผนังอยู่ตรงนี้” ว่าจบก็ขยับตัวในนั่งพิงผนังข้างที่นอนที่คนตัวเล็กใช้นอน
“ขอบคุณนะคะ” เห็นเขาพิงหัวเตียงมองเธออยู่ เธอจึงล้มตัวลงนอนเช่นกัน ก่อนจะหันหน้ามองเขา
“ดึกแล้ว นอนนะครับเด็กดี” พูดพร้อมกับยกขึ้นลูบหัวเธอเบา ๆ
“ค่ะ...” พอเขาพูดแล้วนั้นเธอก็หลับตาลงนอนตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย ลมหายใจที่สม่ำเสมอของคนตัวเล็กบ่งบอกว่าเธอเข้าส่วนห้วงนิทราไปแล้ว เห็นแบบนั้นชลธีก็หลับตามเธอไปบ้าง เขาเองก็เหนื่อยมาทั้งวันเช่นกัน
แสงแดดในตอนเช้าที่สาดส่องทะลุลอดช่องหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง ปลุกให้หญิงสาวที่ตื่นนอนตอนเช้าเป็นประจำอยู่แล้วรู้สึกตัวตื่นขึ้น ก่อนที่รอยยิ้มน้อย ๆ จะปรากฏขึ้นบนใบหน้า เมื่อหันไปเห็นใครบางคนนอนพิงผนังอยู่ใกล้ ๆ
ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม มีเคราจาง ๆ ปากหนาเป็นกระจับสีแดงเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วหนาของเขาอย่างพอดิบดี หากเขาลืมตามันคงจะเข้ากับดวงตาดมดุของเขาด้วย ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเขายังนอนหลับอยู่ ทำให้พิมพกานต์อดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าไป ก่อนที่มือจะยกขึ้นปัดผมที่ตกลงปรกหน้าปิดบังความหล่อเหลาของเขาออก
หมับ
มือหนาคว้าเข้าที่ข้อแขนเรียวเล็กที่กำลังผละออกจากเขา
ก่อนจะออกแรงกระตุกเบา ๆ ร่างบางจึงเซถลาเข้ามาปะทะอกแกร่งเขาอย่างพอดิบพอดี ก่อนจะเอ่ยถามเสียงทุ้ม
“ทำอะไรครับ”
“พี่ธีร์...”
“ใช่ครับพี่เอง สรุปแล้วบอกพี่ได้รึยังครับว่าเมื่อกี้จะทำอะไรหืมม”
“ข้าว ข้าวแค่จะปัดผมพี่ธีร์ออกค่ะ ไม่ได้จะทำอะไร” พูดจบก็หันหน้าลบสายตาขอเขาทันที สายตาร้อนแรงที่เขามองมาเธอไม่อาจต้านทานไหว
“แน่นะ” ดวงตาคู่คมหรี่มอง อันที่จริงเขาตื่นตั้งนานแล้ว แต่พอเห็นเธอตื่นจึงแกล้งหลับต่อ ด้วยความอยากรู้ว่าเธอจะทำอะไร
“ค่ะแน่ใจ แต่ว่าตอนนี้พี่ธีร์ปล่อยข้าวได้รึยังคะ”
“พี่ขอโทษ” ได้ยินเธอพูดแบบนั้นชลธีก็ยอมให้เธอผละออกแต่โดยดี
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวเองก็ผิดเหมือนกัน”
“ขายังเจ็บอยู่รึเปล่า”
“ไม่ค่อยเจ็บแล้วค่ะ”
“พี่ขอดูได้รึเปล่า”
“ได้ค่ะ” หลังจากได้รับอนุญาตชลธีก็ค่อยจับเรียวขาเธอมาดูอย่างทะนุถนอมทันที ก่อนจะบิด กระดกขึ้นลงไปมา
“ถ้าเจ็บบอกพี่นะ”
“ค่ะ” พิมพกานต์ส่งยิ้มตอบ เขาทำให้เธอเบามือขนาดนี้เอาอะไรมาเจ็บกัน
“อันที่จริงต้องประคบเย็นทุกสองชั่วโมง แต่เมื่อคืนพี่มัวแต่คิดเรื่องงาน ก็เลยลืมไป ดูสิเท้าเราบวมเลย ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวว่ามันไม่ได้บวมขึ้นนะคะ มันดีขึ้นกว่าเมื่อวานอีกค่ะ” พูดพร้อมกับกระดกข้อเท้าไปมาให้เขาดู เพื่อไม่ให้เขารู้สึกผิด
“งั้นข้าวไปอาบน้ำนะ พี่จะไปเอาน้ำแข็งมาประคบให้”
“ได้ค่ะ”
“เราเดินไปไหวใช่ไหม”
“ไหวค่ะ...เอ่อพี่ธีร์คะ พี่ธีร์ไม่ต้องรีบก็ได้ค่ะ พี่ธีร์เองก็ไปอาบน้ำก่อนก็ได้” เห็นเขารีบร้อนจะไปหาน้ำแข็งมาประคบให้พิมพกานต์ก็พูดขัดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่กลับมานะ”
“ค่ะ”
ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้หายไปนานอย่างในครั้งแรก เขากลับมาอีกครั้งในเวลาไม่ถึงสามสิบนาที เป็นเวลาเดียวกับที่พิมพกานต์ออกมาจากห้องน้ำพอดี ร่างบางมีเพียงผ้าถุงที่กระโจมอกไว้เท่านั้น ผมยาวถูกรวบไว้เหนือหัว ตามเนื้อตัวมีหยดน้ำเกาะอยู่ประปราย ทำเอาคนที่เดินเข้ามามองนิ่ง
“พี่ออกไปก่อนดีกว่า”
พอเขาเดินออกไปแล้วมือบางก็ยกขึ้นลูบที่หัวใจทันที
และแน่นอนว่าหน้าของเธอก็แดงเอามาก ๆ เช่นกัน ตั้งแต่เกิดมาก็มีแต่เขานี่แหละที่เห็นเธอใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นมากที่สุด สองครั้งแล้วที่เขาเห็น แม้มันจะไม่ได้โป๊หรือโชว์เนื้อหนังอะไรมากมาย แต่มันก็ทำให้เธออดที่จะอายไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไงที่เห็นเธอแบบนี้ จะเกลียดหรือจะชอบกัน...///
“บ้าน่ายัยข้าว เขาจะชอบได้ยังไงกัน หยุดคิดอะไรบ้า ๆ ได้แล้ว”
“รอนานรึเปล่าคะ” หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยดีแล้วพิมพกานต์จึงเดินออกไปหาคนที่นั่งรออยู่หน้าบ้าน
“ไม่นานครับ” ชลธีตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้
“ถ้าอย่างนั้นพี่ธีร์นั่งรอข้าวต่ออีกหน่อยได้ไหมคะ”
“ครับ?”
“ข้าวจะไปกับข้าวน่ะค่ะ พี่ธีร์มาดูแลข้าวแบบนี้คงไม่มีเวลาไปกินข้าวแน่เลยข้าวเลยคิดว่าทำอะไรให้พี่ธีร์ทานหน่อยน่าจะดี อีกอย่างพี่ธีร์ต้องไปทำงานด้วย ข้าวกลัวพี่ธีร์จะหิวไม่มีแรงทำงาน ข้าวเช้าสำคัญนะคะ”
“โอเคครับ พี่รอต่อก็ได้”
“รอไม่นานค่ะ ข้าวสัญญา” พูดจบก็เดินเขย่งขาเข้าไปในครัว แต่เขย่งได้ไม่ถึงสามเก้าตัวก็ลอยหวือขึ้นบนอากาศเพราะถูกเขาช้อนตัวขึ้นอุ้ม
“พี่ธีร์!”
“ครับ”
“มาอุ้มข้าวทำไมคะ ปล่อยข้าวลงนะ”
“เราขาเจ็บอยู่ ให้พี่ช่วยดีกว่า อย่าดื้อ อย่าดิ้น โอเคไหมครับ” ชลธีว่าเสียงดุ สุดท้ายแล้วพิมพกานต์ก็ต้องยอมทำตามที่เขาบอกในที่สุด เมื่อมาถึงครัวเธอก็ลงมือทำอาหารในทันที เพราะข้าวเธอหุงไว้ก่อนจะอาบน้ำแล้ว
“จะทำอะไรหรอครับ” คนที่ยืนรอเอ่ยถาม
“คะน้าผัดน้ำมันหอยค่ะ”
“ให้พี่ช่วยรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใกล้เสร็จแล้ว” หันไปตอบเขาแป๊บหนึ่งก็หันกลับมาตั้งใจทำอาหารต่อ การทำอาหารไม่ว่าเมนูจะยากง่ายเธอก็ตั้งใจ ใส่ใจทำมันเสมอ เพื่อให้รสชาตินั้นออกมาดี ไม่ทำทิ้งให้เสียดายของ อีกอย่างมันก็เป็นความชอบของเธอด้วย เพราะการทำอาหารคือความสุขของเธออย่างหนึ่ง ยิ่งได้ทำอาหารให้คนที่รักอย่างแม่บัว...เธอยิ่งมีความสุขมาก ๆ เลยล่ะ แต่ตอนนี้ไม่มีแม่บัวอยู่แล้ว... เธอก็ได้แต่หวังว่าจะได้พบกับความกับความสุข ความอบอุ่นที่ได้จากแม่บัวอีกในไม่ช้า
“เป็นยังไงบ้างคะ ทานได้รึเปล่า” พิมพกานต์เอ่ยถามอย่างลุ้น ๆ เขาบอกว่าเขาเป็นคนกินยาก มันเลยทำให้เธอกังวลทุกครั้งที่ทำอาหารให้เขาทาน แม้ว่าจะมั่นใจในฝีมือตัวเองอยู่ระดับนึงก็ตาม
“ทานได้ครับ” ไม่ใช่แค่ทานได้ แต่ถูกปากเขามากเลยทีเดียว ไม่คิดว่าผัดผักบ้าน ๆ หน้าตาธรรมดา ๆ แบบนี้จะทำให้เขาทานข้าวหมดไปถึงสองจาน จากที่เป็นคนเลือกกิน กินยากมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก ไม่สิตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น...
“เอาข้าวเพิ่มไหมคะ” เห็นเขาทานได้เยอะ เธอก็รู้สึกอิ่มเองไปด้วย ตัวเธอนั้นเป็นคนทานน้อยอยู่แล้ว เธอชอบทำให้คนอื่นทานเสียมากกว่า ได้เห็นรอยยิ้มของคนที่ทานอาหารของเธอ เห็นสีหน้าบ่งบอกว่าอร่อย บ่งบอกว่ามีความสุขกับอาหารที่เธอทำ แค่นี้เธอก็มีความสุขแล้ว
“พอแล้วครับ กินเยอะกว่านี้ไปทำงานเดี๋ยวจะจุกเอา”
“จริงด้วย ข้าวก็ลืมไปเลย”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้าไม่รังเกียจ มื้อเย็นพี่ขอมาฝากท้องอีกได้รึเปล่า”
“ได้สิคะ ทำไมจะไม่ได้”
“ขอบคุณครับ”
“พี่ธีร์คะ” หลังจากช่วยกันเก็บจานเรียบร้อยแล้ว พิมพกานต์ก็เอ่ยถามเขาที่กำลังจะขอตัวไปทำงาน
“ครับ?”
“คือว่าข้าวเองก็ต้องไปทำงานเหมือนกันน่ะค่ะ แต่ข้าวไม่รู้ว่าต้องไปทำที่ไหน”
“เรื่องนั้นพี่บอกคุณธีร์ให้แล้วครับ ไว้ขาหายแล้วพี่จะเป็นคนพาข้าวไปเอง”
“จริงหรอคะ”
“ครับ ระหว่างที่อยู่ที่นี่ก็คอยประคบเย็นบ่อย ๆ วางขาไว้สูง ๆ นะครับ เดี๋ยวถ้าว่างจากงานพี่จะแวะมาหา”
“ข้าวจะรอนะคะ เอ่อ ข้าวหมายถึงจะทำกับข้าวไว้รอ ไม่ใช่ค่ะข้าวหมายถึง ฮรือ ไม่มีอะไรค่ะ พี่ธีร์ไปทำงานเถอะข้าวไม่กวนแล้ว” พูดจบก็หันหน้าหนีเขย่งเท้าเดินเข้าบ้านไปในทันที นึกจากจะเอาหัวโขกกำแพงชะมัดพี่พูดอะไรแบบนั้นออกไป ‘บอกว่าจะรอเขากลับมา แล้วเขาจังคิดยังไงล่ะเนี่ย ยัยข้าวแกบ้าไปแล้วหรือไง’
“หึ”
